แม่แจ่ม เส้นทางแห่งสำนึก ความคิด และ การกลับสู่วิถีธรรมชาติ


เรียกได้ตามที่เขาเรียกๆกันว่าเป็นทุ่งเขาหัวโลน

เรื่อง แม่แจ่ม เส้นทางแห่งสำนึก ความคิด และ การกลับสู่วิถีธรรมชาติ

             ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวทางเหนือกับคู่ชีวิต 9 วัน เดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีวิตเช่น เดียวกัน ผ่านหลายสิบอำเภอ 5 จังหวัด แวะเที่ยวหลากหลายแห่ง ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ ผ่านถนนหลายเส้นทาง ที่ลดเลี้ยวไปตามลำน้ำตามสันเขา โดยฉพาะ ที่จังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่

            แต่มีถนนอยู่สายหนึ่ง ที่ขับรถไปแล้วรู้สึกสะเทือนใจ รู้สึกว่ามันเป็นเส้นทางที่น่ากลัว มีความรู้สึกกลัวไปตลอดทาง มากกว่าเส้นทางที่ขึ้นเขาสูง ลงห้วยต่ำ หรือทางคตเคี้ยว กลางป่าเขาหรือทางเปลี่ยว แต่เส้นทางสายนี้กลับทำให้ได้สำนึกอะไรหลายๆอย่าง ได้ความคิด อะไรหลายๆอย่าง รวมถึงแนวทางชีวิตที่อยากคืนสู่ธรรมชาติ อยากกลับบ้าน กลับไปทำมาหากินกับธรรมชาติ หากินกับพื้นดิน น้ำ ลม อากาศ แสงแดด พืนผัก ผลไม้ ต้นไม้ ไปใช้ชีวิตอยู่อย่างมีกิน ทำเองปลูกเอง กินเอง

           ในการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ ช่วงที่ขับรถออกจาก จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผ่านแม่สะเรียง เพื่อไปแม่แจ่ม เพื่อหาที่พัก และรอขึ้นดอยอินทนนท์ในตอนเช้า เพราะยังไม่เคยไปและอยากขึ้นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย การเดินทางต้องผ่านเส้นทางมุ่งเข้าอำเภอฮอด แต่ต้องเลี้ยวซ้ายก่อนถึงออบหลวง เพื่อมุ่งสู่ อำเภอแม่แจ่ม เข้าใจว่ามีระยะทางประมาณ 60 กว่ากิโลเมตร ถ้าจำไม่ผิด

             ระยะทางในช่วงแรกนั้น ใด้มีรถกระบะคันใหญ่ๆ ขนกะหล่ำปลี จำนวนมาก หรือ รถขนผักต่างๆ คงมีหลายชนิด ขับรถส่วนทางมาหรือขับแซงขึ้นไปอยู่เป็นระยะ พอขับไปเลื่อยๆ เริ่มมีความรู้สึกตกใจ เพราะ สองข้าง ที่มองออกไปแต่ละข้างนั้น คงเป็นยาวออกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งเป็นแต่ไร่กะหล่ำปลี ไปสุดสายตานู้น ที่ภูเขาลูกใหญ่ ซึ่งบนภูเขาลูกใหญ่นั้นๆ ยังเป็นภูเขาที่ถูกทำเป็นไร่ผักต่างด้วย เป็นเช่นนี้ไปตลอดทางเป็น สิบๆกิโลเมตร ก่อนถึงอำเภอเมืองแม่แจ่ม จากภาพที่เห็นทำให้เกิดความรู้สึกตกใจ รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก

             สภาพเส้นทางถนนจากฮอดไปแม่แจ่มนั้น มีลักษณะเป็นที่ราบกลางหุบเขา หรือทางถนนที่วิ่งขนานไปกับแม่น้ำ ซึ่งเป็นตามลักษณะเส้นทางของถนนตามภูมิประเทศทางเหนืออยู่แล้ว และเมื่อได้ขึ้นไปที่ดอยอินทนนท์ ได้ขึ้นไปที่จุดชมวิว ซึ่งสามารถมองมาที่อำเภอแม่แจ่ม จึงมองไปตามทางถนนเส้นทางเข้าอำเภอแม่แจ่ม พบว่ามีลักษณะภูมิประเทศ เป็นลักษณะที่ราบกลางหุบเขาใหญ่ แต่ไม่ใช่ลักษณะพื้นที่ราบแบบราบเรียบเลย แต่มีลักษณะเหมือน กระทะขนมครก ว่างกลับหลัง คือจะมีภูเขาลูกเล็กๆไม่ใหญ่ไม่สูง เป็นที่ราบบนภูเขาลูกเล็กๆ แต่สามารถเรียกได้ตามที่เขาเรียกๆกันว่าเป็นทุ่งเขาหัวโลนที่อยู่ระหว่างภูเขาลูกใหญ่

            ทางที่ขับรถไปเมื่อมองไปสองข้างตามสภาพที่เห็นนั้น มันสะเทือนใจ ทำให้ได้สำนึกอะไรหลายๆเรื่อง ได้ความคิดอะไรหลายๆอย่าง เริ่มแรกเลยมีความรู้สึกว่ามนุษย์นี้เก่งมากๆ ในป่ารกชัฎ บนเขายังขึ้นมาทำมาหากินกันได้ถึงที่นี้ ลำบากลำบนก็ยังมา แล้วนึกไปถึงการสงสารป่าไม้ต้นไม้ที่ถูกตัดไปจนเป็นเขาหัวโลน สงสารสัตว์ป่าที่ไม่มีที่อยู่อาศัยต้องล้มตายสาบศูนย์ไป

             และมันทำให้ย้อนกับมามองถึงวิถีชีวิตของตัวเองที่อยู่ในเมืองในกรุงเทพเป็นสิบๆปี มองถึงวิถีชีวิตของคนในเมือง ที่คนส่วนใหญ่ที่คงคิดแต่ทำมาหากิน ไปโดยไม่รู้เลยว่าอาหารการกินที่กินอยู่ทุกวันนั้น ได้มาอย่างไร หรือ คนในเมืองส่วนใหญ่คงมีวิถีชีวิต มีความคิด ที่ต้องหาแต่เงินทอง ยศฐา ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เพื่อรองรับกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นไป หรือ แม้แต่คนที่คิดสร้างสรรค์ พัฒนาการบ้านการเมือง หรือพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆอยู่นั้น

           คนในเมืองหลายๆคนคงเป้นเหมือนตัวเอง คงไม่รู้ว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้มหน้าก้มตาทำเกษตร มีอีกหลายคนที่ตัดไม้ถางป่าให้เป็นพื้นที่เกษตร บนภูเขาที่สูงชั่นเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อส่งพืชผักผลไม้มาเลี้ยงมาเป็นอาหารของคนในมืองกรุง และยังทำให้นึกคิดเข้าใจไปถึงปัญหาของโลก ที่เป็นข่าวโด่งดังในเรื่องของภัยจากธรรมชาติต่างๆ ทุกๆอย่าง ไม่ว่าเป็นเรื่องของโลกร้อนจัด หนาวจัด สึนามิ แผ่นดินไหว สภาพอากาศแปรปรวน อยู่ทุกวี่ทุกวันนี้นั้นมันเกิดจากอะไร

          มันทำให้คิดได้ว่าจะไม่ให้โลกมีปัญหาจากภัยจากธรรมชาติต่างๆนาๆได้ยังไง ถ้าป่าไม่ภูเขาในทุกพื้นที่ของโลกใบนี้ ถูกทำลายลดลงไปทุกวันอย่างรวดเร็ว จนภูเขากลายเป็นเขาหัวโลน และคนในเมืองใหญ่ๆ คงยังไม่รู้ที่มาที่ไปของคุณค่าที่ดีที่สุดของสิ่งที่ตัวเองบริโภค ว่ามันมาจากอะไรจากที่ไหน ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง เพื่อแรกมากับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายของคน แรกมากับการยอมรับว่าเป็นสังคมที่เจริญ เป็นสังคมศรีวิลัย

           ถนนที่สองข้างทางที่มองเห็นเป็นสวนผักต่างๆนาๆ ที่มองไปสุดสายตา ที่เห็นเป็นภูเขาหัวโลน สลับกันไปตลอดทางนั้น มันยังทำให้เกิดสำนึกที่ว่า ในวิถีชีวิตปัจจุบันในเมืองของเรานั้นใช้ทรัทย์กรโลกมากไป รู้สึกสงสารโลกมาก รู้สึกไม่อยากทำลายโลกแล้ว เพราะถ้าคนทุกคนบนโลกใบนี้ใช้ชีวิตเหมือนคนในเมืองหรือ เหมือนคนในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างที่เขานินทากัน เช่น สหรัฐ ปัญหาภัยธรรมชาติต่างๆของโลก นี้คงมีมากมายขึ้นเป็นทวีคูณ โลกอาจถึงเวลาที่ต้องตายจากไป เหมือนธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายกันทุกชนิดๆ

           ทำให้ไปคิดนึกไปถึง การไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ของคนที่กินเจ กินอาหารมังสวิรัติ และพระหรือคนที่กินอาหารมือเดียว กินน้อยอยู่น้อย ไม่เบียดบียนทรัพยากรโลกมากนัก เลยได้มีความคิดว่าถ้ากลับไปอยู่ที่กรุงเทพ อยากมีวิถีชีวิตที่อยู่น้อยกินน้อย ลดการทำลายทรัพยากรโลกให้น้อยที่สุด แต่คงทำได้อยากมาก

        แล้วทำให้ได้คิดต่อไปถึงการกลับไปอยู่บ้าน ไปทำนาทำสวน อยู่แบบพอเพียงปลูกอะไรก็กินอย่างนั้น กับไปหากินกับธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ แสงแดน พืชผักผลไม้ ไปคิดทำอะไรที่เบียดเบียนโลกให้น้อยที่สุด เพื่อที่เราได้ไม่รู้สึกเสียใจ เวลาโลกเกิดปัญหาภัยทางธรรมชาติที่ได้รับรู้ตามสื่อต่างๆ แล้วมีคนที่มีความรู้ออกมาพูดถึงสาเหตุของภัยทางธรรมชาตินั้น ว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ เกิดจากการทำลายนั้นนี้ของมนุษย์ เราได้ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นผู้ทำลายโลก แต่ความสำนึกความรู้สึกที่ได้รับรู้จากตัวเอง ต้องรู้ว่าเรากำลังช่วยรักษาโลกอยู่

วาทะสอนชีวิต จาก Albert Einstein - -
มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

กลาง ธรรมชาติ

  2 ม.ค.2554

 

หมายเลขบันทึก: 423685เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 13:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท