ผู้เขียนได้อธิบายไปถึงนิยามของความดีและความชั่วไปแล้ว ถ้าหากอธิบายถึงความสนใจในความรู้สึกของผู้อื่น คนชั่วก็จะทำเพื่อตนเองมากกว่าผู้อื่นแล้วไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนชั่วมักจะทำอะไรก็ได้ที่ขอให้ตนเองและพวกพ้องได้ผลประโยชน์เสียก่อน ส่วนผู้อืนและส่วนรวมจะเป็นอย่างไรก็ช่างเพราะเขาจะไม่สนใจความเป็นไปของคนอื่น ส่วนคนที่ทำดีคือทำเพื่อผู้อื่นมากกว่าตนเอง เมื่อเป็นคนดีเขาจะทำเพื่อผู้อืนและสังคมมากกว่าตนเองและพวกพ้องอยู่แล้ว โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่นเช่นกัน
ปกติการที่เราจะสนใจความคิดของผู้อื่นก็มีวิธีการที่ถูกต้องอยู่แล้ว นั่นคือการเปิดอกเปิดใจพูดกันไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาระหว่างเรากับอีกฝ่ายหนึ่ง หากไม่ใช้วิธีนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ผู้เขียนได้อธิบายมาแล้ว เพราะคนดีทำดีแล้วผู้อื่นมองว่าชั่วก็มี คนชั่วทำชั่วเรามองว่าเขาดีก็มี หรือแม้แต่เราทำดีคนอื่นมองว่าเราทำชั่วก็มี หรือเราทำชั่วคนอื่นมองว่าเราทำดีก็มี หากว่าใครกำลังทำชั่วอยู่แล้วโดยรู้แจ้งด้วยเจตนาของตนแล้ว มีคนอื่นยกย่องสรรเสริญในคุณงามความดีของผู้นั้น แล้วผู้เน้นไปใช้ประโยชน์จากคำสรรเสริญเยินยอนั้น ก็เท่ากับผู้นั้นทำชั่วเพิ่มขึ้น หากผู้ใดทำดีโดยเจตนาแล้วมีคนอื่นตำหนิ ผู้นั้นก็จะเจริญก้าวหน้ามากขึ้น
หากวัดระดับความเข้มข้นของความชั่วที่มนุษย์พึงทำขึ้นนั้น หากใครก็ตามทำเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยไม่สนใจความคิดของผู้อื่นนั้นคือชั่วที่สุด รองลงมาคือทำเพื่อตนเองและพวกพ้องแล้วยังมีสำนึกว่าตนเองทำไม่ดี รองลงไปอื่นคือทำเพื่อผู้อื่นและส่วนรวมโดยหวังผลตอบแทน รองลงไปคือทำเพื่อผู้อื่นเพราะมีคนขอให้ทำ ท้ายสุดคือชั่วน้อยสุดแล้วถือว่าดีที่สุด คือทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนแล้วทุกอย่างออกมาจากใจไม่มีใครบอกให้ทำ หากเรียงจากลำดับความดีก็จะเรียงจากลำดับท้ายสุดไปยังลำดับแรกแล้วมาเรียงใหม่เท่านั้น
เพราะเราบังคับใครให้คิดหรือทำอย่างที่เราคิดหรือทำไม่ได้อยู่แล้ว ใครก็บังคับให้เราคิดหรือทำอย่างเขาไม่ได้เช่นกัน คนชั่วทำเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยไม่สนใจผู้อื่นจึงได้ชื่อว่าชั่วสุด คนดีทำเพื่อผู้อื่นและสังคมไม่สนใจความคิดของผู้อื่นจึงถือว่าดีสุดเช่นกัน คนเรามีหลากหลายความคิดหรือนานาจิตตัง เราจะทำอะไรให้ถูกใจใครหรือทำไปแล้วคนอื่นจะมองเห็นความตั้งใจหรือเจตนาของเราก็ไม่ได้ คนชั่วสุดจึงทำแบบชั่วกันไป คนที่ดีสุดก็ทำแบบดีก็กันไป พอตัดความคิดที่จะไปสนใจความรู้สึกของผู้อื่น ก็จะมีให้เลือกทำได้เพียงสองอย่างเท่านั้น หรือแม้แต่การอยู่เฉย ๆ ยังเป็นไปตามเจตนาว่าคิดอย่างไรก็ถือว่าเป็นอย่างนั้นนั่นเอง
เรื่องของเจตนานี้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายแต่ทำตามได้ด้วยความยาก เพราะความเคยชินที่เราทั้งหลายคุ้นชินกันอยู่ ส่วนมากขัดกับหลักการของเจตนา อย่างที่ผู้เขียนได้เคยอธิบายไปแล้วว่า ใครทำอะไรกับใครอย่างไรได้ผลอย่างไร ซึ้งอธิบายไว้ในคำสอนในยุคปัจจุบัน เช่นทำอะไรกับพระไม่ดีอย่างไรจะเกิดเหตุไม่ดีเช่นนั้นเช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา การอธิบายเช่นนี้ขาดสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่งคือผู้กระทำต้องมีเจตนาด้วย หากผู้กระทำไม่มีเจตนาก็ไม่ต้องไปกังวลใจว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นกับตน บางครั้งการอธิบายอะไรแบบย่อความจากคนรุ่นก่อน โดยที่คนรุ่นนั้นเข้าใจแล้วล่ะเรื่องของเจตนาเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่พอมาถึงคนยุคปัจจุบันความเข้าใจจะเป็นการเข้าใจไปอีกอย่าง บางทีก็เป็นการตีความเข้าข้างตนเอง ทำให้ต้องนำคำสอนเหล่านั้นมาพิจารณาใหม่แล้วค้นหาความถูกต้องแท้จริงของคำสอนนั้น ๆ ให้ได้
คนไม่ศึกษาธรรมอย่างจริงจัง
อคติ อัตตา ทิฐฺิ มากค่ะ
ดิฉันเจอขนาดในเวบไม่รู้จักกัน
ยังนินทา ปล่อยข่าว แกล้งแรงๆ
ไปถามเพื่อนที่อคติ ไม่ถามเราตรง
เอาเรื่องคุณพ่อที่เสียชีวิตแล้ว
มาอ้างว่าเราเหมือนท่าน
รู้สึกเหมือนเจอบัวเหล่าที่สี่
แม้คำสอนของพระพุทธเจ้ายังขัดแย้ง