หนุ่มน้อยทั้งสาม (อายุ 19, 18 และ 13 ปี) เรียนเมืองไทยมาได้ 5 ปีเต็มๆแล้วหลังจากที่เรียนอยู่ออสเตรเลียกันมา 6 ปี โดยที่พี่วั้นกับพี่เหน่นก็เรียนในเมืองไทยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถม 3 และประถม 4 ก่อนที่จะต้องตุเรงๆไปกับคุณแม่คุณพ่อกันทั้ง 3 หนุ่ม (เพราะคุณแม่ไม่ยอมไปเรียนโดยไม่มีลูกๆเล็กอยู่ใกล้ตัวแน่นอน) ส่วนน้องฟุงนั้นไปเริ่มเรียนในโรงเรียนอนุบาลที่เมือง Perth เลยก่อนจะกลับมาเมืองไทย ตอนที่กลับมายังอ่านภาษาไทยแทบจะไม่ได้เลยด้วย
และเมื่อเรากลับมาเรียนในเมืองไทย คุณแม่ตั้งใจไว้เลยว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนธรรมดาที่ไม่ใช่อินเตอร์ เพราะอยากให้ลูกได้ภาษาไทยกลับมาให้เต็มที่ที่สุด ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะต้นทุนที่มีอยู่เขาน่าจะได้ใช้อยู่แล้ว เพราะเราหาดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไม่ยากเลย ลูกๆเข้าสู่ระบบโรงเรียนไทยได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
แต่สิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจก็คือ ทำไมเด็กๆนักเรียนทั้งหลายจึงต้องเรียนพิเศษกันมากมายเหลือเกิน เพื่อนๆของลูกแทบทุกคนมีเรียนพิเศษ ไม่วิชาใดก็วิชาหนึ่ง เคยถามลูก พี่วั้นก็บอกว่า มันทำให้เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้นในบางเรื่อง เพราะโรงเรียนพิเศษจะสอนสูตรการเรียนลัดต่างๆและเน้นสิ่งที่ใช้สอบ เคยถามพี่วั้นว่าจำเป็นไหม พี่วั้นก็บอกว่า หาอ่านเอาก็ได้
ไปๆมาๆดูแล้ว โรงเรียนพิเศษทั้งหลายมีไว้เพื่อให้เด็กๆทำข้อสอบได้ดีขึ้น ซึ่งสำหรับคุณแม่อย่างเราที่ไม่ได้สนใจว่าลูกทำข้อสอบได้ดีหรือไม่ แต่สนใจว่าลูกได้เรียนรู้สิ่งที่ควรรู้หรือไม่ มีความสุขสนุกสนานกับสิ่งที่ได้เรียนหรือเปล่า การสอบในโรงเรียนก็น่าจะเป็นเพียงสิ่งสะท้อนผลเหล่านี้ สำหรับพวกเราพ่อแม่ รู้สึกว่าสิ่งที่โรงเรียนมีให้เรียนก็มากมายเกินจำเป็นอยู่แล้ว ก็เลยไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ลูกจะต้องเอาเวลาที่ควรจะได้พักผ่อน มีความสุขกับชีวิตไปใช้เพื่อเรียนพิเศษ และดีที่ลูกก็ไม่คิดว่าจะต้องเรียนตามที่เพื่อนๆเรียน ผลสอบในโรงเรียนของลูก ก็ไม่เคยน่าเป็นห่วง แม้ไม่ถึงระดับดีเด่นแต่ลูกก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำได้ ไม่ได้สนใจจะแข่งขันอะไรกับใคร
มาถึงวันนี้ที่พี่วั้นก็ผ่านไปเป็นนักศึกษาปีที่ 2 แล้วและพี่เหน่นก็สอบตรงได้ในสาขาและมหาวิทยาลัยที่ต้องการแล้ว ส่วนน้องฟุงก็เลือกเรียนโปรแกรมพิเศษ (น่าจะเป็นเพราะเหตุผลพิเศษที่ไม่เหมือนใครของเขานั่นเอง) ที่เรียนเข้มอยู่แล้วโดยไม่ต้องเรียนพิเศษอะไรเพิ่มเติมอีก ทั้งสามคนก็ดูจะมีความสุขดีกับชีวิตที่ไม่เคยเรียนพิเศษ แถมดูจะเป็นเรื่องเท่เก่ไก๋อีกต่างหากที่เรียนได้สบายๆโดยไม่ต้องเรียนพิเศษ
ทำให้คุณแม่อยากมายืนยันว่า การเรียนพิเศษไม่น่าจะเป็นเรื่องจำเป็นของเด็กๆนักเรียน แต่ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากการที่เราต้องสอนให้ลูกรู้หน้าที่ของตัวเองและรับผิดชอบสิ่งที่เป็นหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ คือรู้ว่าต้องเรียนให้เต็มที่ในเวลาเรียน รู้ว่างานต่างๆที่คุณครูมอบให้ทำเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ รู้วิธีหาความรู้ที่อยากรู้ และเราพ่อแม่ต้องไม่เคร่งเครียดกับการสอบแข่งขันกับคนอื่น ให้กำลังใจลูกที่จะพัฒนาตัวเองโดยแข่งกับตัวเอง ใช้ผลการเรียนของลูกเองเป็นฐานในการตัดสิน เมื่อลูกทำดีขึ้นก็ชื่นชม หากเขาแย่ลงก็อาจจะช่วยดูช่วยคิดวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร มีอะไรที่เราสมควรช่วยเหลือหรือไม่ อย่างไร ให้เกียรติลูกที่จะเป็นคนตัดสินใจในเรื่องเรียนของลุกเอง อย่าเอาตัวเราหรือมาตรฐานของเรา (ที่เราเองก็อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ) ไปเป็นตัวตั้งสำหรับลูก เอาใจลูกมาใส่ใจเราว่า เราเองเคยทำได้ดีกว่าที่ลูกทำหรือไม่ ได้เห็นพ่อแม่หลายท่านที่ช่างไปตั้งเป้าหมายกับลูกในสิ่งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ เคี่ยวเข็นกันจนลูกหมดความภูมิใจในตัวเอง น่าเสียดายโอกาสอันดีในวัยเด็กของลูกๆนะคะ อย่าให้ต้องเสียไปกับการเรียนพิเศษกันเสียหมด ยังมีอะไรๆในชีวิตอีกมากที่เขาควรจะได้ใช้เวลาในวัยนี้กับความสนุกสนานของวัยเด็กทำกิจกรรมกับพ่อแม่ แทนที่จะเป็นเพียงพ่อแม่ไปเทียวรับส่งไปเรียนพิเศษกันจนเหนื่อยแบบที่เห็นๆกันอยู่
สวัสดีครับคุณโอ๋,
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ เรียนพิเศษในวิชาที่เด็กต้องการนั้นจำเป็นมาก ต้องถึงกับจ้างครูพิเศษมาสอนกันตัวต่อตัวเลย
ลูกของผมสามคนต้องจ้างครูเคมีมาสอนพิเศษทุกคน ไม่งั้นตกแน่ๆ ถ้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่นี้ได้ C มาตัวเดียว ปางตายเลยครับ
ไม่มีมหาวิทยาลัยดีๆที่มีชื่อเสียงยอมรับเข้าเรียน เพราะการแข่งขันสูงมาก เด็กนักเรียนบางคนได้ A ทุกวิชา
การสอบ SAT, ACT, MCAT ต้องส่งลูกไปเรียนพิเศษทุกคน บางคนเรียนแล้วเรียนอีก ยังไม่ได้คะแนนที่ต้องการเลย
แต่เด็กบางคนมีพรสวรรค์ ไม่ต้องเรียนพิเศษก็สอบได้คะแนนดี ลูกของคุณโอ๋โชคดีที่มีความสามารถอย่างนั้น
ลูกสาวคนที่สองไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมตอนปลายสำหรับเด็กฉลาดมากๆ TOP 1 PERCENT OF THE NATION
ครูไม่ต้องสอน ให้นักเรียนสอนกันเอง ครูให้การบ้านระดับมหาวิทยาลัย เด็กเก่งๆ ไม่มีปัญหาเลย แต่ลูกผมลดระดับจาก TOP 1 PERCENT มาเป็น TOP 50 PERCENT เพราะเด็กทุกคนฉลาดพอๆกัน พลาดไม่ได้แม้แต่วิชาเดียว เด็กนักเรียนบางคนอยู่ในระดับ Photographic memory อ่านหนังสือครั้งเดียวจำได้ทั้งเล่ม ค่าของ PI จำได้ถึง ยี่สิบทศนิยม เด็กพวกนี้ไม่ต้องการครูหรอกครับ เขาเรียนเองได้
ผมคนหนึ่งที่ไม่เคยบอกให้ลูกเรียนพิเศษ และลูกเองก็ไม่อยากเรียนพิเศษ
การเลือกเรียนก็เป็นสิทธิของเขาเอง แถมให้เรียน นอกระบบเพื่อพาสชั้นไปเรียนกับเด็กปกติอื่น ลูกจึงเรียนจบ แค่ ม.2 แล้วออกมาสอบเรียนต่อสายอาชีพ ไต่เต้าจนจบปริญญาตรี
สงสารลูกคนอื่นๆที่เขาคาดหวังจะให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัย ต้องกวดวิชาแทบไม่ได้พัก เป็นการเรียนที่เครียด กดดันทังเด็กและพ่อแม่ครับ
พี่เหน่นสอบได้ที่ไหน คณะอะไรค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณโอ๋
ครูนกดีใจที่มีผู้ปกครองคิดแบบนี้ ครูนกเองเป็นคนสอนพิเศษนะค่ะไม่ใช่มืออาชีพ แต่จะสอนในกรณีพิเศษ จัดเฉพาะเป็นครั้งคราว การเรียนเพิ่มแบบนี้ครูนกเห็นด้วยเหมือนจะเป็นการตกแต่ง สรุปแนวคิดหรือกรอบความคิดให้เด็กๆ
แต่ถ้าเรียนพิเศษกันเป็นอาชีพครูนกเองไม่เห็นด้วย...เสียดายความสุขในวัยเด็กที่เขาพึงมี แต่อยากการสัมผัสผู้ปกครองโดยทั่วไปอยากให้ลูกเรียนพิเศษจนน่ากลัวค่ะ ตแต่เราในฐานะครูเมื่อให้ข้อมูลไปแล้วก็ต้องเคารพการตัดสินใจของพ่อแม่ เพราะนั่นคือสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับลูก
ขอแสดงความดีใจกับน้องๆ ลูกคุณโอ๋ด้วยค่ะ...ที่ก้าวได้อย่างมั่นคงและมีความสุขอย่างที่เด็กพึงจะมี พึงจะได้
สำหรับเรื่องการเรียนพิเศษของลูกดิฉันคิดว่าผู้ปกครองเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยเลือกตัดสินใจให้ด้วย การเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของลูกว่า จำเป็นและเป็นความต้องการของลูกด้วยหรือเปล่าในขณะนั้น ไม่ใช่เรียนกวดวิชาตามกระแสนิยมของสังคมว่าต้องกวดวิชานะจึงจะสอบผ่าน เพราะจากที่ดูลูกของดิฉันเรียนระดับประถมศึกษาจากการที่เรามีเวลา ให้เวลาใส่ใจ สนใจการเรียนของเขา รับรู้จุดเด่น จุดด้อยที่เขาพบเจอในการเรียน แล้วเขาเลือกที่จะเรียนพิเศษ เพิ่มเติม ด้วยเขาเองคิดว่าเรียนแล้วมันจะช่วยเสริมจุดที่เขาบกพร่องได้และเป็นความพอใจ เต็มใจที่เขาต้องการพัฒนาตนเอง และมีความคิดว่าการเรียนกวดวิชา เรียนพิเศษสำหรับนักเรียนนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นการรับเทคนิค แนวคิดหลายแบบจากครูหลายคน แล้วเด็กจะสามรถเลือกวิธีคิดที่ดีและเร็วมาใช้ตามที่ถนัด แต่ห้ามบังคับเรียน และยัดเยียดเพราะมันเปล่าประโยชน์ เหมือนที่ครูนกว่าแหล่ะค่ะ
สวัสดีครับ โอ๋-อโณ
เป็นบันทึกที่ดีครับ และเห็นด้วยกับคุณ ปุณยนุช ลูกผมเองก็เลือกที่จะเรียนบางวิชาที่เขาคิดว่าเทคนิคภายในห้องเรียนเขาไม่เข้าใจ อย่างคณิตศาสตร์หลักได้เกรด4 แต่คณิตเสริมได้เกรด1 ลูกสาวบอกครูสอนต่างกัน เลยต้องเรียนพิเศษ
ตราบใดที่ระบบเอนทร้านยังเป็นแบบนี้ และมหาวิทยาลัยไทยยังเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน(เน้นการสอบตรง) การเรียนพิเศษของเด็กจะลดลงได้ยาก หากเลิกระบบเอนทร้าน การเรียนพิเศษจะลดลงได้มาก
เห็นด้วยกับครูหยุยนะคะ เพราะดิฉันก็เป็นครูคนหนึ่งที่สอนพิเศษ คำตอบที่ได้คือเพื่อสอบเข้าเท่านั้น.....ไม่มีใครมาเรียนเพื่อเพิ่มความรู้..!
ขอบคุณคุณคนบ้านไกล ที่มาต่อยอดนะคะ แบบลูกๆคุณคนบ้านไกลนี่ต้องถือว่ามีเป้าหมายชัดเจน และได้ผลดีมาก และเท่าที่ไปติดตามอ่านก็รู้ว่าเพราะคุณพ่อใส่ใจใกล้ชิดนั่นเองค่ะ เรียนพิเศษแบบนี้ไม่เหมือนที่เรามีๆกันอยู่ในเมืองไทยตอนนี้หรอกนะคะ เขาเรียนกันเป็นล่ำเป็นสันกว่าเรียนในโรงเรียนอีกค่ะ ถ้าเด็กๆอยากเรียนเองและเรียนแบบมีเป้าหมาย โดยไม่ต้องเสียเวลามากมายอย่างลูกคุณปุณยนุช กับลูกคุณพิชัย เนี่ยดีมากเลยค่ะ ได้ปรึกษากับเราและมีเป้าหมายชัดเจน ไม่เหมือนประเด็นที่เอามาเขียนบันทึกนี้หรอกค่ะ
ที่เขียนนี้เพราะสงสารเด็กๆที่ทำไปโดยไม่มีจุดหมาย ใครๆเรียนพ่อแม่ก็เลยให้เรียนบ้าง เหนื่อยแทนทั้งเด้กและผู้ปกครองนะคะ ที่สมองโดนอัดๆอะไรเข้าไปมากมาย หัวว่างๆคิดอะไรๆออกมากกว่าเยอะเลยค่ะ เด็กๆเขามีสมองเอาไว้คิด เราไปให้เขาจำซะหมดสนุกเลยอย่างที่คุณพรชัย ว่าไว้นั่นแหละนะคะ เห็นด้วยมากๆ
พี่เหน่น ตั้งใจมาตั้งแต่ต้นปีว่าจะเรียนนิติศาสตร์ และอยากเรียนที่ธรรมศาสตร์ค่ะ อ.จัน เบนเข็มไปจากสายวิทย์เลยแต่ก็ไม่ทิ้งการเรียนตลอดปี ไปสอบตรงไว้และติด จะไปสอบสัมภาษณ์วันอาทิตย์ที่ 6 ก.พ.นี้แหละค่ะ (พี่เหน่นอยากเป็นหลายอย่าง แต่นี่คงเป็นก้าวแรกสำหรับอีกหลายๆแฉกของชีวิตเขาค่ะ เราก็ได้แต่ให้กำลังใจและช่วยตามหน้าที่เท่านั้น การตัดสินใจเป็นของเขาเองค่ะ)
สวัสดีครับคุณโอ๋,
ดีใจด้วยกับพี่เหน่นที่อยากจะเรียนนิติศาสตร์ ตอนผมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย คุณครูสอนสังคม ท่านจบจากอักษร จุฬา ท่านเชียร์ให้เรียนนิติศาสตร์ บอกว่าจบมาแล้ว ทำราชการไปนานๆ ก็ได้เป็นผู้พิพากษาเอง น่าจะเชื่อท่าน เพราะเพื่อนผมจบนิติศาสตร์ มาแล้วตอนนี้เป็นผู้พิพากษาอยู่ พี่ชายเจ้าของไอ้มุก จบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตอนนี้ท่านเป็นอธิบดีอยู่ด้วยเหมือนกัน บอกพี่เหน่นด้วยว่าลุงบ้านไกลเอาใจช่วยเต็มที มาเป็นศิษย์เหลืองแดงกันเถอะครับ
เขียนบันทึกนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กลับมาอ่านอีกทีก็ยังรู้สึกว่า ความเห็นต่างๆที่เราคุยกันไว้ยังคงทันสมัยกับปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนะคะ เด็กเรียนพิเศษเพื่อให้จบหลักสูตร เพื่อให้สอบได้ตามที่ต่างๆกันเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตไปเสียแล้ว น่าเป็นห่วงระบบการศึกษาของบ้านเราจริงๆ
เป็นคุณแม่คนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียนพิเศษเลย แต่ทนแรงต้านจากคนข้างเคียงไม่ได้ คุณพ่อเค้าคิดว่าการจะให้ลูกเข้าเรียนที่ดีๆ (โรงเรียนดัง) เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสภาพสังคมมันเป็นแบบนี้ เค้ากลัวว่าลูกจะสอบไม่ติด กลัวว่าไม่ทันคนอื่น เพราะมีลูกของเพื่อนคุณพ่อสอบไม่ได้ กำลังหาที่เรียนอยู่ แต่ดูจากศักยภาพของลูกแล้ว คุณแม่คิดว่าน่าจะโอเค ถ้าไม่เลือกเรียนในโรงเรียนดังๆ แบบที่ต้องแข่งขันกันมากมาย เห็นด้วยกับครูหยุยเลยคะ แล้วยิ่งตอนนี้จะมีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนในโรงเรียนอีก จะให้วิชาการน้อยลง เน้นกิจกรรมมากขึ้น ผู้ที่ได้เปรียบคือโรงเรียนกวดวิชา ถ้ากระทรวงศึกษาคิดจะปรับเปลี่ยนแบบนี้ ควรจะปรับเรื่องการสอบ การประิเมินผล โดยเฉพาะการสอบเข้าด้วย ผู้ปกครองและเด็ก ๆ จะได้ไม่เป็นเหยื่อของโรงเรียนกวดวิชา
สำคัญเพราะการแข่งขันสูงครับในปัจจุบัน
ข้อสอบแข่งขันที่ออกมาก็จะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ
เกินหลักสูตรเนื้อหาที่สอนตามโรงเรียนครับ
ทำให้ปัจจุบันการเรียนพิเศษจึงสำคัญมากๆครับ
หากสนใจเรียนติดต่อ www.tutortopcu.com ครับ
พี่ๆจุฬาทุกคนรับสอนน้องอย่างเป็นกันเองครับ ^^