ผู้เขียนได้อธิบายไปแล้วว่าเจตนานั้นมาจากคนทำมิใช่มาจากคนรับ คนที่มักจะชอบพูดบ่อยว่าไม่เชื่ออย่าลบหลูนั้นเป็นเพราะไม่เข้าใจหลักเจตนา เนื่องจากหากจะเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้นั้นต้องมีเจตนาด้วยหากไม่มีเจตนาหรือไม่ตั้งใจก็ไม่ถือว่าเป็นการลบหลู่ แล้วคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่มักใช้กับสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้วส่วนมากมักจะมาจากการกระทำของจิตวิญญาณที่มักจะชอบแสดงฤทธิ์ให้คนกลัวเสียมากกว่าการกระทำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียอีก หากพิจารณาให้ดีเมื่อตนเองมีอิทธิฤทธิ์แล้ว ใช้อิทธิฤทธิ์นั้นไปข่มขู่ผู้อื่น จะถือว่าเป็นการลุแก่อำนาจอีกวิธีหนึ่ง
โดยปกติการใช้อำนาจไปในทางพระเดชเป็นธรรมชาติของจิตทุกดวงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นหรือจิตวิญญาณก็ตาม ทั้งนี้ก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งเพื่อเรียกร้องความสนใจ การกระทำเช่นนี้จึงไม่ต่างจากเด็กขี้แยรบเร้าเอาของเล่นจากพ่อแม่ ซึ่งลักษณะการอยากให้ผู้อื่นสนใจตนเองนั้นมีกันแทบทุกคน เพียงแต่ว่าเด็กอาจจะแสดงพฤติกรรมที่ต่างออกไปจากผู้ใหญ่เท่านั้น นั่นคือพฤติกรรมเดียวกันเด็กแสดงอย่างหนึ่ง ผู้ใหญ่แสดงอย่างหนึ่ง เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงออกอย่างหนึ่ง หากทุกคนรรุ้เท่าทันตนเองด้วยความมีสติ ก็จะไม่เกิดเหตุการใช้อำนาจในทางพระเดชด้วย
ดังนั้นการใช้ฤทธิ์ในทางพระเดชแล้วทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่เกิดขึ้น หรือเด็กรบเร้าเอาของเล่นจากพ่อแม่ หรือบางทีเห็นผู้ใหญ่บางทีงอนเด็ก ก็เป็นเรื่องเดียวกันหรือเป็นพฤติกรรมเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือการเรียกร้องความสนใจ เมื่อรู้ทันถึงลักษณะการเรียกร้องความสนใจแล้วให้ไปสำรวจตนเองแล้วขจัดข้อบกพร่องนี้ด้วยวิปัสนากรรมฐาน จะทำให้พฤติกรรมที่เรียกว่าการเรียกร้องความสนใจนี้หายไปได้เอง เนื่องจากการเรียกร้องความสนใจเป็นลักษณะอาการน้อยใจซึ่งเป็นพฤคิกรรมย่อยของพฤติกรรมใหญ่ที่เรียกว่าการหลงตนและการถือตัวนั่นเอง
นั่นหมายความว่ากำลังสมาธิยิ่งมากขึ้นเท่าไรยิ่งต้องรู้เท่าทันตนเองให้เร็วขึ้นแล้วมากขึ้นกว่ากำลังวสมาธิที่เพิ่มขึ้น เพราะถ้ากำลังสมาธิเพิ่มเร็วกว่าขีดความสามารถในการรู้ตัวของเรานั้นจะทำให้เกิดสภาวะที่ไม่รู้ตัวเกิดขึ้นได้ สภาวะอย่างหนึ่งคือการใช้อิทธิฤทธิ์ข่มขู่ผู้อื่น นำมาซึ่งความหวาดกลัวโดยเฉพาะมนุษย์ แล้วทำให้มนุษย์เข้าใจผิดว่าผู้ที่แสดงปาฏิหาริย์มาก ๆ กลายเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ท้ายสุดจึงเป็นที่มาของคำพูดที่ยอดนิยมว่า "ไม่เชื่ออย่าลหลู่" เกิดขึ้นนั่นเอง
หากทุกคนสามารถสำรวจตนเองได้อย่างลึกซึ้งจะพบว่าพฤติกรรมบางอย่างไม่ควรทำ ซึ่งแม้แต่ผู้เขียนเองกว่าจะรู้ตนเองก็หาข้อบกพร่องนี้อยู่ตั้งหลายปี การที่เราจะเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นได้นั้นก็ต้องให้ความสำคัญในตนเองก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงไม่ค่อยให้คุณค่ากับความเป็นตนเอง ไม่ได้ให้คุณค่าว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เพราะหากสนใจในความดีที่ตนทำไม่ว่าใครก็ตามจะทำให้เกิดความหลงตนและการถือตัวผุดขึ้นมาอีก เมื่อเกิดความหลงตนและการถือตัวขึ้นมาโอกาสที่จะลุแก่อำนาจ หลงติดอำนาจ แล้วในที่สุดบ้าอำนาจก็จะมีขึ้นมาอีก การที่ไม่ให้ความสำคัญกับงานที่ทำแต่ให้ความสำคัญกับผลที่ได้ จะเป็นลดความถือตัวลงได้แล้วหากมีฤทธิ์จะไม่ใช้ฤทธิ์นั้นไปแสดงอภินิหาริย์ให้เกิดความหวาดกลัว แล้วไม่เป็นบ่อเกิดของคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เกิดขึ้น
ไม่ว่าใครทำอะไรก็สุดแล้วแต่ สิ่งนั้นย่อมตอบสนองตนเสมอ การใช้อิทธิฤทธิ์ไปข่มขู่ให้ผู้อื่นกลัวด้วยเจตนาก็ถือว่าเป็นบาปกรรมแล้วเป็นมโนกรรมอย่างหนึ่ง และมโนกรรมนี้เมื่อผู้ใดทำขึ้นแล้ว จะถือว่าเป็นการทำบาปอย่างร้ายแรง บรรดาพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายที่พึงมี เมื่อมีและเกิดขึ้นแล้วย่อมมีทางแก้เสมอขึ้นอยู่กับว่าจะรู้วิธีการแก้พฤติกรรมนั้นหรือไม่ ท้ายสุดจึงหนีไม่พ้นปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง