สิ่งหนึ่งที่เป็นยอดปรารถนาประการหนึ่ง คือความอยากมีอำนาจหรือความอยากอยู่เหนือผู้อื่น เป็นเจ้าคนนายคนสามารถสั่งให้ผู้อื่นใต้ปกครองหรือบังคับบัญชาทำตามที่เราบอกได้ เป็นความฝันใฝ่อยู่ในใจเราอยู่ลึก ๆ อีกประการหนึ่ง
แต่การมีนำนาจไม่ว่าจะเป็นการได้อำนาจมาจากที่ใดก็ตาม หากเราคิดว่าเรามีอำนาจแล้วใช้อำนาจนั้นในทางพระเดช โดยเฉพาะการใช้วิธีการลงโทษผู้อยู่ใต้อำนาจ ดูเหมือนว่าการใช้วิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่ดี แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่าเป็นวิธีที่ไม่ดีอย่างยิ่ง อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือเราไม่สามารถบังคับผู้ใดให้ทำตามที่เราต้องการของเรา หรือแท้จริงแล้วก็ไม่มีใครสามารถบังคับเราให้ทำตามความต้องการของเขาได้
ดังนั้นหากเรากลายเป็นผู้มีอำนาจหรือจะได้อำนาจมาด้วยวิธีการใดก็ตาม หากเราคิดว่าเราเป็นคนมีอำนาจ นั่นหมายความว่าเรากำลังหลงอำนาจ หากแต่เราใช้อำนาจด้วยพระเดชแสดงว่าเรากำลังบ้าอำนาจ ทั้งหลงอำนาจและบ้าอำนาจนั้นท้ายสุดจะนำทุกข์มาสู่ตนทั้งคู่ ยิ่งเรามีอำนาจมากเท่าใดเรายิ่งต้องใช้พระคุณให้มากขึ้นเท่านั้น ให้เราเปลี่ยนจากการใช้พระเดชหรือแม้แต่การลงโทษผู้กระทำผิดเป็นการให้ปัญญาแทน เช่นอธิบายด้วยเหตุและผลว่าทำสิ่งใดลงไปอย่างไรมีผลต่อเราอย่างไร หรือถ้าไม่ทำสิ่งนี้แล้วส่งผลต่อเราอย่างไร นั่นหมายความว่าสิ่งแรกที่เราควรปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา คือการนำปัญญาไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ผู้ใต้บังคัญชาเกิดการตระหนักในสิ่งที่ตนกำลังจะทำหรือตนกำลังจะไม่ทำ ให้เขาพิจารณาด้วยตนเองว่าทำหรือไม่ทำสิ่งนั้นแล้วจะเกิดผลต่อตนเองอย่างไร จึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
อีกประการหนึ่ง ให้เราระลึกอยู่เสมอว่า เราต้องใช้ความเมตตาต่อใต้ผู้บังคับบัญชาให้ได้มากที่สุด โดยทั่วไปผู้นิยมใช้อำนาจมักมีทัศนะคติว่าจะต้องลงโทษผู้กระทำผิดหรือรวมถึงผู้ที่มีความคิดไม่เหมือนตนหรือขัดแย้งกับตนให้เกิดความหลาบจำ แต่ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงเขาจะใช้เมตตาแทนการใช้อำนาจ ใช้ความเมตตาอันบริสุทธิ์ไปสร้างความสำนึกให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยหลีกเลี่ยงการคิดว่าเราเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือผู้ใต้บังคับบชาให้ได้มากที่สุด ผลจะทำให้แทบไม่ต้องใช้การลงโทษหรือใช้วิธีการที่รุนแรงต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเลย
ผู้ที่จะใช้ความเมตตาอย่างบริสุทธิ์นี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ไร้สิ่งขุ่นมัวในใจอย่างแท้จริงจึงจะสามารถทำอย่างที่ผู้เขียนอธิบายไว้ได้ เหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกเกิดความวุ่นวายมาจากผู้มีอำนาจเน้นใช้อำนาจ ใช้กำลังต่อผู้อยู่ใต้อำนาจตน การใช้วิธีการลงโทษไม่ว่าจะสถานเบาหรือสถานหนักก็ตาม ถึงแม้จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหลาบจำได้ก็จริงอยู่ แต่จะทำให้เกิดการแค้นเคืองของผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นรการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขหรือแก้ไขการกระทำผิดของคนได้อย่างแท้จริง วิธีการลงโทษผู้กระทำผิดเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการแก้แค้นกันไปมาข้ามภพข้ามชาติไม่รู้จักจบสิ้นอีกประการหนึ่งด้วย
นี่จึงเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่าเมตตาค้ำจุนโลก เพราะความเมตตาที่บริสุทธิ์ใจต่อผู้กระทำผิดไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ใต้การปกครองของเราหรือไม่ก็ตาม จะทำให้ผู้กระทำผิดสำนึกในสิ่งที่ตนทำได้อย่างแท้จริง ด้วยกุศลของความเมตตาที่เรามีจะสามารถก่อให้เกิดสำนึกขึ้นในใจผู้กระทำผิดได้ แล้วจะใม่มีการแก้แค้นกันไปมาอย่างที่ผู้เขียนได้อธิบายไปแล้ว เนื่องจากกุศลแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์ของเรา จะไปเร่งให้ธรรมะที่ว่า กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนาให้มีผลตอบสนองได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อเป็นดังนี้ผู้ใดมีเจตนาอย่างไรย่อมได้ผลตอบสนองกับตนอย่างนั้น คิดชั่วทำชั่วสิ่งไม่ดีย่อมเกิดขึ้นกับตนเอง อยากพ้นจากผลอันเป็นบาปนั้นตนก็ต้องสำนึกด้วยตนเอง นั่นคือหลักของความเมตตาไม่เน้นการลงโทษเป็นหลัก แต่ผลการกระทำชั่วโดยเจตนาของผู้ใดจะลงโทษผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แล้วผลกรรมจะตอบสนองผู้คิดชั่วด้วยเจตนาของเขาได้เร็วเท่าไร ขึ้นกับว่ากำลังเมตตาที่เรามีต่อเขามากน้อยเพียงใดเป็นสำคัญด้วย ไม่ต้องห่วงว่าผู้คิดชั่วทำชั่วจะไม่ได้รับผลกรรมนั้น เพราะถ้าเรามีเมตตาด้วยความบริสุทธิ์อันแรงกล้า ธรรมะที่ว่าด้วยกรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนาย่อมให้ผลปรากฏเป็นจริงเช่นกัน
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2009 เวลา 20:44 น. | Author: ธนวัฒน์ สวัสดิ์แก้ว |
ไม่มีความเห็น