เช้าวันนี้ต้องตื่นตามตารางทัวร์ 6-7-8 คือ ตื่น 6 กิน 7 เคลื่อนทัพ 8 โมงเช้า อาหารเช้าของโรงแรมก็มีให้เลือกหลากหลาย อาหารไทย จีน ฝรั่งและพม่า ได้ลองชิมขนมจีนกับแกงพม่า ก็รสชาดเค็มนิดๆ ปะแล่ม คล้ายน้ำยาป่า บ้านเรา
8 โมงเช้าก็นั่งรถยาวสู่เมืองหงสาวดี(พะโค-Bago) ซึ่งอยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 80 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ได้ชมบ้านเมืองไปตามทาง หงสาวดีเป็นเมืองหลวงที่รุ่งเรืองในอดีตแห่งราชอาณาจักรมอญ มีรูปหงส์คู่เป็นสัญญลักษณ์ของเมือง โดยตัวเมียขี่บนตัวผู้ ซึ่งมีการทำนายว่า สตรีจะเป็นใหญ่ เมืองหงสาวดีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่งดงามด้วยศิลปะและวัฒนธรรม
ก่อนที่จะเข้าตัวเมืองหงสาวดี ได้แวะชมความงามของเจดีย์ไจ๊ปุน (Kyaikpun Pagoda) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่นั่งโดยรอบ 4 ทิศ มีความงดงามตามศิลปะมอญ ประกอบด้วย พระสมณะโคดม (ทิศเหนือ) พระโกนาคม(ทิศใต้) พระกกุสันโธ(ทิศตะวันออก) และพระมหากัสสปะ(ทิศตะวันตก) พระพุทธรูปนี้สร้างโดยพระธิดาสี่สาวพี่น้องของกษัตริย์มอญที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา และสาบานตนว่าจะถือพรหมจรรย์ ไม่มีสัมพันธ์ใดกับบุรุษเพศ แต่พระธิดาองค์สุดท้องได้มีการอภิเษก จึงทำให้พระพุทธรูปองค์หนึ่งได้พังทลายซึ่งได้มีการบูรณะใหม่ทำให้องค์นี้สวยงามแตกต่างจากองค์อื่นแต่มีใบหน้าที่ค่อนข้างเศร้ากว่าองค์อื่น การเข้าชมวัดในเมืองพม่านี้จะต้องถอดรองเท้า และจะต้องเสียค่ากล้องถ่ายรูป (Camera fee) อันละ 300 จ๊าด (สองกล้อง 500 จ๊าด = 20 บาท) ที่เจดีย์นี้ ก็จะมีร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ เช่น ตาลปัตรพระพม่า อันละ 1000 จ๊าด (40 บาท) พัดอันเล็กๆแบบไม้หอม จากจีน หมวก (5 อัน 100 บาท) เป็นต้น หลังจากไหว้พระเสร็จ เด็กรถจะมีการแจกผ้าเย็น(wet paper)มิใช่เพื่อเช็ดหน้า คลายร้อนแต่เพื่อเช็ดเท้า เพราะเท้าจะดำมากๆๆๆ
จากนั้น ก็เดินทางต่อไปยัง พระเจดีย์ชเวมอดอร์ (Shwemawdaw Paya) หรือพระธาตุมุเตา 1 ใน 5 มหาเจดียสถานของพม่า ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี เป็นพระเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองมากว่า 2,500 ปี พระธาตุมุเตา สร้างโดยชาวมอญ เพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุจำนวน 2 เส้น กับพระทันตธาตุที่มีอายุกว่า 1,200 ปี ในอดีต พระธาตุฯเคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง โดยแผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ. 2473 ได้ทำให้ปลียอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ว่าด้วยความศรัทธาที่ชาวเมืองมีต่อเจดีย์องค์นี้ พวกเขาได้ทำการสร้างเจดีย์ชเวมอดอขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต (ตอนแรกที่สร้างสูง 70 ฟุต) นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน
เจดีย์ชเวมอดอก็คือ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญอย่างเด่นชัด คือมีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ส่วนภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่าอย่างชัดเจน
วิธีการไหว้พระธาตุ ให้พระธาตุค้ำจุนชีวิตเราให้ประสบความสำเร็จ โดยการนำธูป 1 ดอกมาเสียบให้โค้งเข้าอีกช่องให้ได้ จากนั้นเอาหัวค้ำกับพระธาตุแล้วอธิษฐาน
ชมความงามพระธาตุเสร็จแล้ว ก็เดินทางต่อไปวัดไจ้คะวาย (Kyat Kat Weing Monastery) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพระภิกษุและสามเณรมาศึกษาพระไตรปิฎก โดยช่วงที่ไปมีประมาณ 600 กว่ารูป วัฒนธรรมที่งดงามของที่นี่คือ การมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ โดยเป็นการใส่ข้าวเท่านั้น ซึ่งข้าวนั้นทางวัดจะหุงใส่หม้อใบใหญ่แล้วเราก็ใช้จานตักข้าว แล้วใส่ลงในบาตรพระ รูปที่มาหยุดหน้าเราแล้วเปิดฝาบาตร หากท่านไม่เปิดก็ไม่ต้องใส่ หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว ก็เข้าไปในโบสถ์ เพื่อถวายเงินและสิ่งของต่างๆ กับเจ้าอาวาส ซึ่งดูน่าเลื่อมใสมาก พระรูปอื่นๆจะนั่งล้อมวงฉันอาหารซึ่งกับข้าวบนโต๊ะดูมีไม่กี่อย่าง ซึ่งทำให้สะท้อนถึงภาพของพระไทยที่จะมีอาหารหลายอย่างมากๆๆ
หลังจากถวายสังฆทานแล้วก็เดินทางมาที่ร้านอาหาร Bago Kyaw Swa อาหารมื้่อนี้มี hilight คือ กุุ้งแม่น้ำ โควต้าคนละ 1 ตัว และน้ำพริกกุ้ง ซึ่งอร่อยมากอยู่ อยากซื้อกลับแต่ก็คิดว่า เมืองไทยก็มีน้ำพริกเยอะแยะ เอาไปจะไม่ได้กิน ก็เลยตัดใจ (ราคาน้ำพริก กล่องเล็กๆ 1500 จ๊าด) นอกจากนี้ก็มี ปลาทอดโรยด้วยพริกแห้ง ก็ชอบนะ รสชาดกำลังดี และไข่เจียว
พวกเราเดินทางพระราชวังบุเรงนอง (Kanbawza thadi Palace) สร้างขึ้นในปี 2109 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการ ปี 2142 ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง ซึ่งพระราชวังเดิมเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกัน มีการค้นพบเสาและกำแพงเดิมที่ถูกฝังในดิน รัฐบาลพม่าจึงได้ทำการขุดค้นและสร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ โดยถอดแบบจากของเดิม ซึ่งใช้สีทองเหลืองอร่ามงดงามมากทั้งภายในและภายนอก เสาโบราณที่พบนั้นส่วนหนึ่งก็นำมาแสดงให้ชม อีกส่วนหนึ่งก็เห็นกองสุมไว้ในอาคารเล็กๆ ด้านนอก ส่วนสวนรอบอาคาร ก็มิได้รับการดูแลนัก หากตัดตกแต่งให้ดี ก็จะเดินเที่ยวได้อีก
จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังท่ารถหกกล้อ เพื่อที่จะขึ้นไปที่พระเจดีย์ไจก์ถิโย (Kyaikhtiyo Paya)หรือ พระธาตุอินทร์แขวน(Golden Rock pagoda)...ติดตามตอนต่อไปค่ะ
ไม่มีความเห็น