จดหมายถึงลูก “ภัคร” (ฉบับแรก)


จดหมายถึงลูก “ภัคร” (ฉบับแรก)

 

 

 

จดหมายถึงลูก “ภัคร”  (ฉบับแรก)

                                

                 ความจริง “แม่” อยากเขียนจดหมายถึง ลูก ๆ นานแล้ว  แต่แม่ยังไม่มีเวลา มาบัดนี้ ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่แม่อยากเขียนจดหมายให้ลูกได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ โดยการสื่อให้ได้รับรู้ แม้วันหนึ่ง วันใด ที่แม่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขอให้รู้ว่า แม่รักและเป็นห่วงลูก ๆ ทั้งสองทุกลมหายใจเข้าออก ไม่มี พ่อ – แม่ คนไหนหรอกที่ไม่ห่วงลูก...บางคนอาจเป็นเพราะภาระ หน้าที่บางอย่าง จึงไม่ได้ใกล้ชิดลูก ๆ...

                เช้าวันนี้ วันที่ 23 มกราคม 2554 เมื่อคืนนี้ “ภัคร” ได้มานอนที่บ้าน เนื่องจากเช้านี้ต้องมาสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ ม.น. เนื่องจากต้องสอบเข้าเรียนต่อหลาย ๆ ที่ เพราะไม่รู้ว่าจะสอบได้หรือเปล่า?...”ภัคร” สอบเข้าเรียนต่อ ป.โท 3 แห่ง ๆ แรก ได้แก่ ม.เกษตร ม.นเรศวรและ ม.ศิลปากร วันนี้ เป็นการสอบเข้าแห่งที่ 2 เหลือแห่งที่ 3 คือ ม.ศิลปากร จะสอบในวันที่ 29 มกราคม 2554  สำหรับว่าติดที่ไหนนั้น ค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะเรียนที่ไหน...”ภัคร” กลับมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ไปฝึกงานที่กรมศิลปากร ได้ความรู้มากมายกว่าที่คิด...ภัคร” เคยบอก “แม่” ว่า อยากมาฝึกงานกับแม่” ต่แม่บอกว่า “ถ้าหนูมาฝึกงานกับแม่ หนูจะได้รับความรู้เพียงแค่ รับโทรศัพท์ โทรสาร ถ่ายเอกสาร พิมพ์หนังสือ เท่านั้นเอง...ไม่ใช่เสือกไสไล่ส่งลูก  แต่ “แม่” ต้องการให้ลูกได้รับความรู้ + ประสบการณ์ ตรงกับวิชาที่หนูเรียนมา...ิชาภาษาไทย  ฟังดูแล้วมันเหมือนด้อยค่าหนักหนา...ถ้าเปรียบเทียบกับการเรียนแพทย์ วิศวะ ฯลฯ...แต่ แม่” กลับภูมิใจในตัวของหนู ที่เรียนแล้วแล้วทำได้ดี...หนูเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ั่นแหล่ะ คือ ความรู้ที่มันจะสะสมเกิดขึ้นในตัวของหนูเอง  ความรู้ในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่มีในเพียงห้องเรียนเท่านั้น...ิ่งราได้หาความรู้ด้วยตัวของเราเองด้วยแล้ว  แม่บอกได้เลยว่า  มันมีคุณค่าอย่างมหันต์  ที่เราสามารถหาความรู้ได้โดยไม่ใช่ในการหาความรู้ในชั้นเรียน...พราะแม่เอง ก็ชอบอ่านและขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง นับจากที่แม่เรียน มสธ.แล้ว...มันเป็นข้อดีข้อหนึ่งของแม่...พราะความจำเป็นที่เราไม่มีโอกาสได้เรียนในห้องเรียน...แต่เราก็สามารถหาความรู้ได้โดยการศึกษาด้วยตัวของเราเอง...และทำให้เสมือนว่า มันเป็นความภาคภูมิใจ ที่คนเรามีเวลาเท่ากัน  ว่าแต่ใครจะไขว่คว้าโดยทำเวลาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองต่อสังคมให้มากที่สุด...อย่าลืมว่า !...จุดด้อยของคนไทย  นั่นคือ..."การไม่ชอบอ่านหนังสือ"  จะมีก็น้อยที่มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ"...แม่ว่า "ถ้าคนไทยทุกคนชอบอ่านหนังสือให้มากกว่านี้  ประเทศไทยเราน่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้นะ...ยิ่งเป็นหนังสือวิชาการ คนไทยชอบส่ายหน้า...หารู้ไม่ว่า  การอ่านหนังสือด้านวิชาการนั้นมีประโยชน์ เนื่องจากวิชาการก็มาจากการที่ได้ปฏิบัติแล้วนั่นเอง...และการปฏิบัติก็ได้มาจากงานวิชาการ ซึ่งเป็นวัฏจักรหรือวงจร"...

          ปีนี้ “ภัคร” อายุย่างเข้าปีที่ 24 แล้ว...เมื่อเช้าเห็นหนูแต่งตัวไปสอบเพื่อเรียนต่อแล้ว ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว ดูหนูเป็นหนุ่มขึ้นนะ...ผิดกว่าเมื่อก่อน ที่ผอมบางเหมือนคนขี้โรค โดยบางคนบอกกับภัครว่าเหมือน “ภัคร” ติดยา...แม่จึงบอกหนูว่า อย่าไปใส่ใจในคำพูดของคนอื่น  ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดเสียอย่าง เพราะคนอื่น ไม่มีใครต้องการให้เราดีหรอก”...”ภัคร” พูดกับพ่อเมื่อเช้าว่า  “ตอนนี้ น้ำหนักภัคร หนัก 56 ก.ก. แล้วนะพ่อ”... แม่ดูว่า หนูอ้วนขึ้น แต่แม่ก็ไม่ชอบให้หนูอ้วนเกินไปหรอกนะ เพราะผู้ชายอ้วนมากไม่ดี สะสมโรคอีกต่างหาก รูปร่างแบบนี้ดีแล้ว...เวลาใส่สูท ผูกเนคไท ดูเท่ห์ + หล่อดีนา...ก่อนไปสอบและเมื่อสอบเสร็จแล้ว ภัครก็จะเลยขึ้นรถทัวร์กลับไปฝึกงานต่อที่ กทม. เลย ภัครเข้ามากอดแม่ บอกแม่ว่า แม่ ภัครขอกอดแม่หน่อย”...โตเป็นหนุ่มแล้วยังจะมาขอกอดแม่อีก ไม่อาย สาว ๆ หรือไง...ภัครได้แต่ยิ้ม ๆ ...ม่ยังแซวหนูตอนเช้าว่า “อาจารย์ภัคร”...ภัครได้แต่หัวเราะ...สำหรับหนู พูดไปแล้ว แม่ไม่ห่วงหนูหรอก เพราะแม่รู้ว่าหนูมีความรับผิดชอบเต็มตัวแล้ว...ต่คนที่น่าห่วงสิ คือ “น้องเพรียง” มากกว่า...เพราะแม่ยังไม่รู้เลยว่า “เพรียง” จะไปอีไม้ไหน...ต่แม่ก็รู้อีกนั่นแหล่ะว่า...ถ้าเรื่องการใช้ชีวิตแล้ว “เพรียง” ไปได้อย่างสบาย เพียงแต่ความรู้เท่านั้น ที่เพรียงไม่ชอบการเรียนในห้องเรียน ิ่งถ้าอาจารย์บีบให้เพรียงเรียนมากเท่าไร เพรียงจะเกิดอาการทันที...แม่ก็ได้แต่บอกให้ เพรียงตั้งใจเรียนให้จบ” พราะปีนี้วันที่ 26 มกราคม 2554 นี้ “เพรียง” จะอายุครบ 20 ปีเต็มแล้ว...เผลอแป๊ปเดียว ลูกทั้งสองโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว...และแม่ก็อยากให้หนูเป็นห่วงน้องเช่นเดียวกัน...เพราะเราเป็นพี่ – น้องกัน...เป็นเลือดของแม่ที่อยู่ในตัวหนูทั้งสองคนเหมือนกัน...เราจึงควรรักกัน + ห่วงใยกัน...

                เหลือแต่แม่กับพ่อ ก็คอยเป็นกำลังใจให้ “พ่อเร” ก็เกษียณแล้ว เหลือแต่ “แม่” อีก 11 ปีกว่า ก็เกษียณตาม “พ่อเร” ไปอีกคน...ต่อไปนี้ ครอบครัวเราคิดจะทำอะไร เราก็ทำได้ตามใจของพวกเราแล้ว...บางครั้ง  “แม่” ก็คิดว่า “การทำงาน” เป็นตัวกีดขวางความใกล้ชิดของพวกเรา พ่อ – แม่ – ลูก นะ...แต่ถ้าเราไม่ทำงานแล้วเราจะเอาอะไรมาดำรงชีวิตกันล่ะ...เมื่อเช้าพอ “ภัคร” ตื่นขึ้นมาก็เปิด Computer ฟังเพลงแต่เช้า  มีเพลงหนึ่งที่แม่ถึงกับนั่งน้ำตาซึม คือ เพลง “รอยจูบบนฝ่าเท้า”...ซึ่งเหมือนกับ พ่อ – แม่ ได้กระทำต่อพวกลูก ๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว...ไม่มีสิ่งใดที่หวังมากไปกว่า “ขอให้ลูกสองคนเป็นคนดีก็แล้วกัน”...มีหน้าที่อะไร ทำหน้าที่นั้นให้สมกับเป็นลูกที่รู้จักหน้าที่ของตนเอง...ยามหนูมีลูกกันเมื่อไรหนูจะรู้สึกเหมือนที่แม่รู้สึกในขณะนี้...

 

  

 

 

 อ่านจดหมายถึงลูกทุกฉบับ ได้จากที่นี่...

"จดหมายถึงลูก"

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 422095เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2011 14:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2013 14:53 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ.. ผมก็ชอบมากเพลง "รอยจูบบนฝ่าเท้า"

สวัสดีค่ะ...คุณราชิต...Ico48...

  • ค่ะ เป็นเนื้อเพลงที่ได้คติ ข้อคิด เตือนใจดีค่ะ...
  • กำลังจะไปเยี่ยมที่บล็อกพอดีเลยค่ะ
  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ...

สวัสดีค่ะ...Ico24...+  Ico24  + Ico24...

  • ขอบคุณทั้งสามท่านที่มามอบดอกไม้ให้ค่ะ...
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท