เรื่อง การแบ่งมรดกตามกฏหมายอิสลาม ศึกษาจาก islamwit.net เข้าที่เผยแผ่ผลงานครูแล้ว เข้าต่อที่ รอฟีกี การีมี cai
เศรษฐศาสตร์อิสลาม
เศรษฐศาสตร์อิสลาม (عِلْمُ الإِقْتِصَادِ الإِسْلاَمِيّ) หมายถึง ภาควิชาที่ประมวลบรรดาหลักการและกฎเกณฑ์ทางศาสนบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ และวิธีการพัฒนาสินทรัพย์ให้งอกงามโดยมีที่มาจากอัล-กุรฺอาน อัส-สุนนะฮฺ การวินิจฉัยทางสติปัญญาของบรรดานักวิชาการ
คำว่า “อัล-อิกติศอดฺ” หมายถึง ความพอดีหรือความเป็นกลางระหว่างความฟุ่มเฟือย และความตระหนี่
ที่มาของเศรษฐศาสตร์อิสลาม
หลักการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในภาควิชาเศรษฐศาสตร์อิสลาม มีที่มาจากแหล่งเดียวกันกับภาควิชากฎหมายอิสลาม คือ อัล-กุรฺอาน และอัล-หะดีษ นอกจากนี้ยังปรากฏอยู่ในตำราของบรรดานักวิชาการมุสลิมอีกเป็นจำนวนมาก
ดังปรากฏในอัล-กุรฺอาน ว่า
tûïÏ%©!$#ur !#sÎ) (#qà)xÿRr& öNs9 (#qèùÌó¡ç öNs9ur (#rçäIø)t tb%2ur ú÷üt/ Ï9ºs $YB#uqs% ÇÏÐÈ
ความว่า “และบรรดาผู้ซึ่ง เมื่อพวกเขาได้ใช้จ่าย พวกเขาก็ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย และพวกเขาก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว และระหว่างทั้งสองสภาพนั้น พวกเขาอยู่สายกลาง”
(สูเราะฮฺอัล-ฟุรกอน อายะฮฺที่ 67)
และ ดังปรากฏในอัล-หะดีษ ว่า
مَا عَالَ مَنِ اقْتَصَدَ
ความว่า“บุคคลที่มีความพอดี (ไม่ฟุ่มเฟือยในการใช้จ่ายและไม่ตระหนี่) ย่อมไม่ขัดสนยากจน”
(รายงานโดยอะหฺมัด)
หลักพื้นฐานสำคัญของเศรษฐศาสตร์อิสลาม มีดังต่อไปนี้
1. มีลักษณะเป็นเอกเทศ
ระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามเป็นระบอบที่แยกเป็นเอกเทศจากระบอบเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ โดยมีความแตกต่างทั้งในด้านเป้าหมาย วิธีการ และการตราบัญญัติต่าง ๆ เพื่อปกป้องควบคุม ส่งเสริม และขับเคลื่อนระบอบอย่างเป็นรูปธรรม การที่ปรากฏว่า ระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามได้สอดคล้องกับระบอบเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ในข้อปลีกย่อยบางส่วน มิได้หมายความว่าระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามเป็นระบอบสังคมนิยมหรือเป็นระบอบทุนนิยมแต่อย่างใด
2. เป็นส่วนหนึ่งจากองค์รวมของหลักคำสอนในศาสนาอิสลาม
ระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามมีความผูกพันอยู่กับหลักความเชื่อ จริยธรรมอิสลาม และหลักบัญญัติทางศาสนาอิสลามข้ออื่น ๆ อย่างยิ่งยวด ทั้งนี้เราไม่สามารถแยกส่วนระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามออกจากระบอบอิสลามอื่นๆ ได้เลย เนื่องจากระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามไม่อาจแสดงบทบาทที่ถูกต้องในการปฏิรูปเรื่องการเงินการคลังของประชาชาติได้เลย ตราบใดที่ระบอบนี้ไม่นำเอาหลักคำสอนทางจิตวิญญาณมาเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาจิตใจของปัจเจกบุคคล การปลูกฝังคุณค่าทางจริยธรรมในจิตใจของผู้คนเหล่านั้น ตลอดจนการล้อมสังคมด้วยรั้วทางจริยธรรมอันงดงามอันเป็นสิ่งกำหนดวิถีทางของปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม
3. เป็นระบอบที่สอดคล้องกับธรรมชาติและสัญชาตญาณของมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์มีความรักในการครอบครอง และการถือครองกรรมสิทธิ์ อิสลามได้อนุมัติในเรื่องดังกล่าวด้วยภาพลักษณ์ที่เปิดกว้าง อิสลามเพียงแต่กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อควบคุมไม่ให้ธรรมชาติในการรักที่จะครอบครองและมีกรรมสิทธิ์นั้นส่งผลกระทบต่อปัจเจกบุคคลและสังคม ตลอดจนส่งเสริมเรื่องการทำงาน การประกอบสัมมาอาชีพที่ไม่ส่งผลร้ายต่อตัวเองหรือผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ระบอบอิสลามจึงมีความแตกต่างจากระบอบเศรษฐศาสตร์แบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และระบอบทุนนิยม
4. เป็นทางสายกลางและมีดุลยภาพ
ปัญหาของระบอบเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ก็คือ การมองด้านหนึ่งด้านใดเป็นการเฉพาะจากข้อเท็จจริง ดังปรากฏในระบอบเศรษฐศาสตร์แบบทุนนิยมซึ่งมีการตรากฎหมายมากมายเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิในการครอบครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และความเสรีในการทำงานและการประกอบอาชีพ แต่ระบอบทุนนิยมก็ละเลยเป็นอันมากในการให้ความสำคัญต่อสิทธิของสังคมส่วนรวม บรรดาคนร่ำรวยในระบอบดังกล่าวได้รับอภิสิทธิมากเกินไป จึงเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมและสร้างผลกระทบต่อคนอื่นอย่างมากมาย ส่วนระบอบเศรษฐศาสตร์แบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์กลับมุ่งเป้าหมายไปยังการคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ของสังคมมากเกินไป จนเกิดความไม่เป็นธรรมต่อปัจเจกบุคคลและลิดรอนสิทธิของพวกเขาในด้านการถือครองกรรมสิทธิและการทำงาน แต่ในระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามได้มีการกำหนดระเบียบที่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของปัจเจกบุคคลและวิถีชีวิตของสังคมส่วนรวม ทั้งสองภาคส่วนได้รับการคุ้มครองสิทธิของตนอย่างมีความสมดุลและเป็นธรรม ซึ่งสิ่งนี้จะไม่มีในระบอบอื่นนอกจากระบอบอิสลาม อันเป็นระบอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานลงมาให้กับมนุษยชาติ
5. เกิดความเมตตาและการเกื้อกูลอย่างเป็นรูปธรรม
การตราบัญญัติในระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามมุ่งชี้นำให้บรรดาผู้ร่ำรวยได้พยายามทุ่มเทไปในการเกื้อหนุนสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของเหล่าผู้ยากจน ขัดสน ให้หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่คนเหล่านั้น ซึ่งมิใช่เป็นเพียงเรื่องของความเวทนาสงสาร หากแต่เป็นคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ที่ผู้ใดเบี่ยงเบนออกจากคำสั่งนั้นย่อมถูกลงโทษ อิสลามได้ประกาศอย่างชัดเจนต่อเหล่าอิสลามิกชนว่า “พวกท่านคือพี่น้องกัน และทรัพย์สินที่พวกท่านมีอยู่ในครอบครองเป็นทรัพย์สินของพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ยากจนขัดสนย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมในทรัพย์สินของพวกท่าน” และเพื่อทำให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อิสลามจึงได้บัญญัติเรื่องซะกาฮฺ ภาษีที่ดินและส่งเสริมให้มีการบริจาคทานและการใช้จ่ายในรูปต่าง ๆ อันเป็นการลดช่องว่างหรือระยะห่างระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งนำไปสู่สภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความรักและการเกื้อกูลกันระหว่างสมาชิกในสังคมนั้น
ไม่มีความเห็น