ผมเป็นคนโชคดีที่ผู้ใหญ่เมตตา ท่านแสดงความเมตตาโดยการเอาตัวไปใช้งาน ระหว่างที่ผมไปอยู่หาดใหญ่ผมโดนชวนมาประชุมและช่วยงานด้านสาธารณสุขและการวิจัยที่กรุงเทพเป็นระยะๆ บางครั้งผมก็เบื่อเพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พอทนทำไปก็ค่อยๆ รู้เรื่อง ผมเคยเป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เคยเป็น กม. เคยเป็นอนุกรรมการหลายชุดของแพทยสภา เคยเป็นอนุกรรมการร่างแผนสาธารณสุข เป็นต้น การที่ผู้ใหญ่จับตัวเราใช้งานนี่ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบครับ เพราะมันกินเวลางานประจำที่เรากำลังทำอยู่ แต่ในระยะยาวแล้วเป็นคุณต่อชีวิตผมมาก
ผมให้เลขาจดไว้อย่างละเอียดว่าผมเคยทำอะไรบ้าง โอ้โฮ ตอนปี ๒๕๓๕ มีรายการหนาถึง ๓๐ หน้า ตอนไปสมัครเป็นผู้อำนวยการ สกว. (ตอนนั้นยังไม่เรียกว่า สกว.) ผมให้คน print ออกมาจาก Notebook Computer หนัก ๔ กิโลที่ผมแบก เอาแนบไปกับใบสมัคร เดาว่ากรรมการคงเห็นผมเคยทำงานหลากหลายหน้าจึงพิจารณาเลือก
พอมาอยู่ สกว. ปีแรกๆ No name ครับ ไม่มีคนรู้จัก แต่ ดร. บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา ที่มาทำงาน สกว. ด้วยกันบอกว่า "อาจารย์หมอเป็นคนมีบารมี คนรู้จักกว้างขวาง" ผมไม่เชื่อครับ แต่หลังจากอยู่ สกว. ได้สัก ๓ ปี สกว. เริ่มมีชื่อเสียง ผมก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย หลังจากนั้นก็จะมีคนมาชวนไปเป็นกรรมการโน่นนี่มากมาย ผมก็รับบ้างปฏิเสธบ้าง ลาออกบ้าง พอจะแต่งตั้งใหม่ก็ขออย่าให้เขาตั้งบ้าง เท่ากับว่าผมยิ่งได้ฝึกงานหลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้นไปอีก
พอออกจาก ผอ. สกว. ใหม่ๆ ก็โล่งโปร่งเบาสบาย และคิดว่าคงถึงคราวได้พักผ่อนนอนอ่านหนังสือที่อาฆาตไว้เต็มตู้เสียที แต่แล้วก็มาทำ สคส. และงานเชิงอาสาสมัครที่หลากหลายก็ตามมาระลอกใหม่ ชีวิตเมื่ออายุเลย ๖๐ ของผมจึงยิ่งเพิ่มการฝึกงานหลายหน้าขึ้นไปอีก ถือได้ว่าเป็นทั้งโชคและเคราะห์ไปพร้อมๆ กัน
ที่ว่าเป็นโชคก็คือ ได้มีโอกาสเรียนรู้ด้านที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ แต่ที่ว่าเป็นเคราะห์ก็คือชีวิตมันเอียง มันไม่พอเพียง คือมันล้น งานล้นเกินไป แต่คิดในแง่ดีก็เป็นความท้าทายที่จะหาทางจัดการเวลาและสมองของตนเองให้มีสติตั้งมั่นอยู่ได้ในท่ามกลางความโกลาหลของงาน ผมได้โอกาสฝึกฝนตนเองแม้ยามชรา โชคดีแท้ๆ
วิจารณ์ พานิช
๗ กค. ๔๙
ไม่มีความเห็น