ต่อ
มาตรการเพื่อคุ้มครองสุขภาพ (Health Concern)
มาตรการเพื่อการคุ้มครองสุขภาพนี้ จะเป็นการดำเนินการในลักษณะเรียกร้องให้ผู้ผลิตต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรใดองค์กรหนึ่งตามที่ประเทศผู้นำเข้าได้กำหนดไว้ โดยในช่วงแรกๆ ประเทศผู้นำเข้าสินค้าจะกำหนดมาตรฐานสินค้าที่จะนำเข้าโดยเน้นที่คุณภาพและมาตรฐานของสินค้า จึงเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ (Product Standard) สินค้าที่จะนำเข้าจึงจำเป็นต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากผู้รับรองที่เป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นำเข้า เช่น มาตรฐาน CODEX, มาตรฐาน Oko-Tex เป็นต้น ต่อมาประเทศผู้นำเข้าเห็นว่าจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่กระบวนการผลิต มาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต (Process Standard) จึงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น
กระบวนการตรวจสอบตั้งแต่กระบวนการผลิตนี้ค่อนข้างเป็นที่น่าหนักใจในช่วงแรกๆที่มีการนำมาใช้เพราะมีขั้นตอนการตรวจสอบที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน ผู้ประกอบการก็เกรงว่ามาตรการใหม่นี้จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับต้นทุนการผลิตและไม่สามารถผลิตสินค้าไปสู้ราคากับตลาดได้ ตัวอย่างมาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต เช่น
HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
GMP (Good Manufacturing Practices) เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตสินค้า
GAP (Good Agriculture Practices) เกี่ยวกับสุขอาณามัยของพืชและสัตว์
แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปกำลังมีแนวคิดที่จะเพิ่มมาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเพิ่มอีก ๒ ประเภท คือ
RoH (Restriction on the use of Hazardous Substances in Electrical and Electronic Equipment)
REACH (Restriction, Evaluation, Authorization of Chemicals) กระบวนการจดทะเบียนสารเคมี ตั้งแต่กระบวนการผลิตสารเคมีประเภท/ชนิดนั้นๆ ขั้นตอนการขนส่ง การนำมาจำหน่าย การนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ/อุปกรณ์ในกระบวนการผลิต และประมาณสารตกค้างในผลิตภัณฑ์
ซึ่งมาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิตใหม่ทั้งสองนี้ค่อนข้างเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการนำมาใช้ ทั้งนี้เพราะกระบวนการตรวจสอบค่อนข้างซับซ้อนและมีเนื้อหาสาระที่เข้มงวด ซึ่งขณะนี้ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับมาตรฐาน REACH ผ่าน สกว. และคาดว่าผลงานวิจัยดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนตุลาคม
มาตรการเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Environment Concern)
มาตรการเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมนี้ จะเป็นการดำเนินการเพื่อมุ่งหวังให้มีการอนุรักษ์หรือใช้สิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยประเทศผู้นำเข้าประสงค์จะให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าวด้วย
มาตรการเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมนี้สามารถแยกได้เป็นสองประเภทเช่นเดียวกับมาตรการเพื่อคุ้มครองสุขภาพคือแยกเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต โดยในส่วนของมาตรฐานผลิตภัณฑ์มักกำหนดเป็นเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ เช่น หีบห่อที่ทำมาจากวัสดุย่อยสลายได้ นำกลับไปใช้ซ้ำ (reuse) หรือนำเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ (recycle) เป็นต้น และมาตรฐานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต เช่น มาตรฐานยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในอาหาร (Pesticides) มาตรฐานเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Clean Technology) บริการจัดเก็บขยะเทคโนโลยีเหลือใช้ (Waste Management) โดยในมาตรการประเภทหลังนี้ค่อนข้างสร้างความหนักใจแกกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคเป็นอุตสาหกรรมหลักเช่นประเทศไทย เนื่องจากประเทศผู้ผลิตต้องรับภาระในการรับสินค้ากลับเมื่อสินค้าดังกล่าวเลิกใช้ เช่นไทยส่งออกตู้เย็นไปสหภาพยุโรป หากถึงกำหนดหมดอายุการใช้งาน ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตสินค้าต้องรับคืนตู้เย็นดังกล่าวกลับมาทำลายหรืออาจเลือกเป็นการจ่ายค่าทำลายให้แก่สหภาพยุโรปในฐานะผู้รับซื้อก็ได้ ซึ่งหลักการดังกล่าวอาจจะขยายไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆในอนาคต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือรถยนต์ เป็นต้น
ในขณะนี้มาตรการเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปที่ประเทศไทยจำเป็นต้องถือปฏิบัติตาม คือ มาตรฐาน EuP มาตรฐาน EC มาตรฐาน E1 เป็นต้น
มาตรการเพื่อคุ้มครองแรงงาน (Labor Concern)
มาตรการเพื่อการคุ้มครองแรงงานนี้ จะเป็นการดำเนินการเพื่อมุ่งหวังให้มีการจ้างงานที่เป็นธรรม โดยมุ่งไปที่การใช้แรงงานเด็ก การประกันสังคม และการจ้างงานที่เป็นธรรม
ประเทศไทยเคยมีปัญหาเรื่องแรงงานเด็กแต่ก็สามารถแก้ไขและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ปัญหาที่ทางการไทยเกรงว่าอาจถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงก็คือแรงงานต่างด้าว เพราะแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยยังมีอยู่เป็นจำนวน และสวัสดิการในการจ้างงานกับคนต่างด้าวก็มักมีมาตรฐานที่ต่ำกว่าแรงงานคนชาติ ดังนั้นไทยจำเป็นต้องแก้ไขหรือหามาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งมาป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
ลักษณะในการกำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองแรงงานนี้ ปรากฏเด่นชัดในการค้ากับสหรัฐอเมริกา ทั้งปรากฏในทางการค้าปกติระหว่างกันและปรากฏในข้อตกลงการค้าเสรีที่จะทำระหว่างประเทศคู่สัญญา ปัจจุบันประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาต่างเป็นภาคีในองค์การแรงงานสากล (International Labor Organization: ILO) แต่ว่ามีอนุสัญญาบางฉบับที่ไทยและสหรัฐอเมริกาลงนามรับรองไม่เหมือนกัน และโดยที่ข้อความในอนุสัญญาบางฉบับดังกล่าวมีความแตกต่างกัน ทำให้ทางปฏิบัติของไทยกับสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างกันไปด้วย แต่ในการค้ากับสหภาพยุโรป ไม่ปรากฏข้อเรียกร้องด้านแรงงานที่เด่นชัด
ไม่มีความเห็น