ไม้ขีดไฟในความมืด


           กลุ่มนักเรียนมีสีหน้าตื่นเต้นเมื่อคุณครูที่ปรึกษาเข้ามาบอกว่า  วิทยากรกำลังมา  ทุกสายตามองไปยังต้นทางด้วยใจจดจ่อ   อยากเห็นสีหน้าศิลปินแห่งชาติ   ซึ่งก่อนเดินทางมาพวกเธอและเขาได้ศึกษาประวัติและผลงานมาก่อนแล้ว   แววตาของทุกคู่ฉายแววตื่นเต้นดีใจ   ไม่แสดงให้เห็นถึงความล้าหรือง่วงจากการเดินทางไกลมาแต่อย่างใด
 
 
           เขาก้าวเข้ามาด้วยบุคลิกของหนุ่มใหญ่  กางเกงยีนส์สีซีดจาง  เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน  เก็บชายเสื้อเรียบร้อย   ในมือถือหนังสือหรือสมุดอะไรสักอย่างหนึ่ง   สายตามองมายังกลุ่ม
นักเรียน   สีหน้าชะงักคล้ายผิดหวังเหมือนจะเอ่ยว่า  “เด็กเท่านี้เองหรือ  ทำไมน้อยจัง”  
นักเรียนที่มาเพียง ๒๕ คน ก็น่าจะน้อยมากเมื่อมาเชิญวิทยากรระดับศิลปินแห่งชาติ  หากเป็นเพียงนักเรียนระดับมัธยมอีกด้วย   เขากล่าวทักทายและเล่าถึงภารกิจต่าง ๆ ในช่วงนี้  แล้วก็เริ่มเล่าจุดเริ่มต้นของการเขียน  บุคคลต้นแบบ   แรงบันดาลใจ  สลับด้วยการอ่านบทกวี ด้วยเสียงเนิบช้าชัด หรือทิ้งช่วงจังหวะตามน้ำหนักของคำและเนื้อหา
 
 
        สายตาของเด็กๆ เป็นประกายฉายแววรับรู้    ยิ้ม  พยักหน้า  หัวเราะ  ไม่มีแม้สักคนที่จะหันมาคุยนอกประเด็น ทุกสายตาจับมั่นอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว 
  
 
        ““คือนกว่ายเวี่ยเวิ้งฟ้า
ตะกายจิกดาวอยู่ไหวไหว
ไป่รู้ค่าเวลานาทีใด
ลอยมาลอยไปไร้วารวัน
เสพย์กินเพียงทิพย์ธรรมชาติ
บริสุทธิ์พิลาส-สูงค่านั่น
แม้เพียงเศษหัวใจก็ไป่ปัน
ให้ความไหวหวั่นทั้งถ้วนมวล”
 
 
            เขาสอนในการสร้างคำ   สรรคำ   ทีละคำ  ทีละวรรค  สลับกับการหยิบยกบทกวีตัวอย่าง   แรงบันดาลใจในการเขียน   การตั้งจุดหมายในการเขียน เขายิ่งยกตัวอย่างเด็กๆ ก็ยิ่งแสดงอวัจนะภาษาให้เขารับทราบได้ว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา   รับสารที่เขาสื่อมาได้   เขาได้รับสารเช่นนั้น สารที่เขาสื่อก็ยิ่งหลั่งไหลออกมา  ล้วนแล้วแต่ไพเราะกินใจ  ๒ ชั่วโมงเวลาที่เขาให้หมดไปเร็วเหลือเกิน
 
 
         “ประเดี๋ยว ! หลังจากพักแล้ว พาเด็กๆ ไปชมพิพิธภัณฑ์สิ”  เขากล่าวกับครูที่พาเด็กมา  และแนะนำเส้นทางให้ข้อมูลเพิ่มเติม   ครูยิ้มกล่าวขอบคุณ   คิดในใจ “ก็ไหนท่านว่าท่านมีประชุมด่วน  ทำไมล่ะ?”  
 
 
            แล้วเขาก็พาเด็กไปเสียเอง  อธิบายของที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นทุกชิ้น   การได้มาของของทุกชิ้น  ดูเขามีความสุขกับการบรรยายให้เด็กกลุ่มนี้ยิ่งนัก   จากเดิมที่เขาต้องรีบไปประชุม   ไม่ใช่เสียแล้ว   เขาแพ้ต่อความสนใจ ความใส่ใจ  สายตาที่พร้อมจะรับข้อมูลทุกอย่าง  จนกระทั่งถึงห้องสุดท้ายคือ  ห้องลูกปัด  เขาจึงได้แยกตัวไป
 
 
            เด็กหนุ่มผิวดำผมหยิกหน้าตาแบบคนโบราณ ยิ้มมาทั้งปากและตา “ ต้นแบบของผมเลยครับ   ผมชอบมาก  ผมอ่านงานของท่านทุกชิ้นเลยครับ”   ส่วนสาวรุ่นอีกนางหนึ่งก็กรี๊ด  “ อาจารย์ขา ดีใจจังเลยค่ะ  หนูได้แนวคิดมากมาย   หนูจะต้องไปให้ถึงฝัน ได้มีโอกาสอ่านบทกวีเหมือนที่ท่านอ่าน”   ครูยิ้มด้วยดีใจ    “สมัยที่ครูเรียนครูก็เคยมาฟังท่านเป็นวิทยากร  ครั้งนั้นท่านยังหนุ่มมากและเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังหนุ่มมิเปลี่ยนแปลง”
 
 
            คืนนั้นขณะที่เด็กกำลังทำกิจกรรม “ พูด เล่น ให้เห็นงาน”  เขาก็มาเยี่ยมในชุดกางเกงแพรสีแดง  เสื้อกล้ามสีขาว    พร้อมกับช่วยอ่านผลงานของเด็ก   เพียงไม่นาน  เขาก็หยิบยกผลงานการเขียนของนักเรียนขึ้นมาวิจารณ์ด้วยความชื่นชม   และอีกหลายชิ้นที่ตลกขบขัน  
 
 
            และจากประกายตาที่ส่งรับมาในช่วงเช้า  กระทั่งเห็นผลงานการเขียนของเด็กๆ นี่เอง  ในเวลา ๕ ทุ่มของคืนนั้นจึงมีคำพูดนี้ออกมา “หากใครยังไม่ง่วงเดี๋ยวไปที่ห้องผมนะ  ไปชมห้องเขียนหนังสือกัน”  เด็กๆ หันมาสบตาแล้วยิ้มให้กัน   คุณครูขนลุกซู่   เด็ก ๆ กล่าวขอบคุณ เขาก็นำไป  ท่ามกลางความมืดของกลางคืนแต่ดวงใจทุกดวงกระจ่างยิ่งนัก   
 
 
            ห้องของเขาเป็นห้องค่อนข้างใหญ่มีห้องนอนซ่อนอยู่ด้านในหากว่าเขาเหนื่อยล้าไม่อยากกลับบ้านก็พักที่นี่ได้  ด้านหน้ามีพรมนิ่มๆ ปูอยู่ที่พื้น  มีเครื่องพิมพ์ขนาดเล็กวางอยู่    “เครื่องพิมพ์!” เสียงประสานของใครหลายๆ คน  "ใช่เครื่องพิมพ์  เผมยังใช้เครื่องพิมพ์ พิมพ์ต้นฉบับ"  เด็ก ๆ ตื่นเต้นระคนแหลกใจ  เพราะปัจจุบันไม่เห็นเครื่องพิมพ์ในสำนักงานใด ๆ เลยก็ว่าได้  รอบห้องรายล้อมไปด้วยหนังสือ หนังสือ  หนังสือ และหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศ  นิตยสารหลายเล่มที่หยุดพิมพ์ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจเรียงซ้อนไว้อย่างเป็นระเบียบ  
 
 
          เจ้าหนุ่มน้อยผิวดำผมหยิกหน้าตาโบราณเข้าไปใกล้เขาเพื่อคุยถึงเรื่องหนังสือเล่มนี้ เล่มนั้น  เขาก็หยิบมาให้ดู  สาวน้อยผิวขาวอีกคนก็เข้าไปประจบขอดูบ้าง    เขานั่งกับพื้น  เด็กนั่งกับพื้น   เสียงจุ๊กจิ๊ก  จอแจของกลุ่มเด็กมิได้ทำให้เขาเบื่อหรือรำคาญแต่อย่างใด  หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าที่หยิบมาอธิบาย     การอ่านเป็นพื้นฐานของการเขียน  คนจะเขียนต้องอ่านมากๆ   หลายคนยิ้มเมื่อเขาเซ็นชื่อมอบหนังสือให้มา  หนึ่งนาฬิกาของวันใหม่    พวกเขาและเธอจึงได้ลาเขาออกมา
 
 
            เสียงกรรมการซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่งแสดงความเห็นขณะที่ตัดสินผลงานเพื่อรับรางวัลกวีนิพนธ์ยอดเยี่ยม.....อะวอร์ด  “นี่เป็นลีลาการเขียนของศิลปินท่านนั้นนี่”  อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “แนวคิดเขาแปลกดีนะ  สะท้อนความน่าจะเป็นด้วย  ช่างคิดนะ” 
 
          คืนนั้นนักข่าวสื่อมวลชน มามากหน้าหลายตา หลายสำนัก   ก่อนการมอบรางวัล    บนเวทีหญิงสาวผู้หนึ่งออกมาอ่านบทกวีซึ่งเป็นผลงานของเธอ  เสียงเอื้อนเอ่ยไพเราะจับใจยิ่งนัก   หลังจากนั้น   ศิลปินแห่งชาติก็ออกมาอ่านชื่อเจ้าของรางวัลรางวัลกวีนิพนธ์ยอดเยี่ยม.......อะวอร์ด    ผู้รับรางวัลก็คือหนุ่มผิวดำผมหยิก  หน้าตาเหมือนคนโบราณคนนั้น     ส่วนสาวเจ้าที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วในการอ่านบทกวี   ก็คือสาวผิวขาวที่เคยประจบประแจงขอหนังสือจาก “เขา”ในคืนนั้นนั่นเอง
 
 
          ครูนั่งยิ้มกับหนังสือที่ได้รับรางวัล   รางวัลกวีนิพนธ์ยอดเยี่ยม......อะวอร์ดและบทกวีของเขาและเธอ    เขาและเธอเขียนในหนังสือที่มอบให้ว่า “แด่คุณครู......ผู้สอนสั่งในวัยเยาว์”  ครูเชื่อว่าเขาคงจะมอบหนังสือนี้ให้แด่เขา....ไม้ขีดไฟผู้จุดแสงสว่างในความมืดของค่ำคืนนั้นด้วย
 
         
หมายเลขบันทึก: 408700เขียนเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2010 21:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 17:11 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ล้วนมีประโยชน์ครับ

เหมือนกับใบมะพร้าวใช่มั้ยคะ  ขอบคุณค่ะ

อ่านแล้วได้อารมณ์ศิลป์มากๆเลยค่ะ

ผู้ถ่ายทอดกับผู้รับสอดคล้องกันดีผลงานจึงปรากฏออกมาดีน่าภูมิใจนะคะ...

นำเสนอเรื่องราว ร้อยเรียงภาษาได้ดีมากครับ อ่านแล้วเห็นภาพ ดีใจที่ได้อ่านงานเขียนของท่านครับ

ขอบคุณค่ะ  ช่วงนี้ยุ่งๆ จึงไม่ได้เข้าไปอ่าน ร้าวฉานวงการศึกษา  

ขอให้มีความสุขกับการลอยกระทงนะคะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท