ส่วนบนของฟอร์ม
บทที่ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของกฎหมายอิสลาม
หลักนิติธรรมอิสลาม (اَلشًّرِيْعَةُ الإِسْلاَمِيَّةُ) หมายถึง สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญญัติแก่มวลบ่าวของพระองค์จากบรรดาหลักการที่เกี่ยวกับการยึดมั่น (اَلْعَقِيْدَةُ) จริยธรรม (اَلأَخْلاَقُ) และการจัดระเบียบทางด้านวจีกรรม กายกรรม และธุรกรรมต่างๆของมนุษย์
กฎหมายอิสลาม اَلْفِقْهُ الإِسْلاَمِيّ)) หมายถึง ประมวลหลักการปฏิบัติต่าง ๆ ตามศาสนบัญญัติซึ่งเป็นการจัดระเบียบพฤติกรรม วจีกรรม และการทำธุรกรรมต่างๆของบรรดาผู้ที่เข้าอยู่ในเกณฑ์บังคับของศาสนา โดยมีที่มาจากอัล-กุรฺอานและสุนนะฮฺตลอดจนบรรดาหลักฐานทางศาสนบัญญัติอื่น ๆ
ดังนั้นนัยของหลักนิติธรรมอิสลามจึงมีความครอบคลุมกว่านัยของกฎหมายอิสลาม เนื่องจากหลักนิติธรรมอิสลามประมวลถึงหลักการยึดมั่น และหลักจริยธรรม ตลอดจนประมวลกฎหมายอิสลามไว้ด้วย จึงกล่าวได้ว่า กฎหมายอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมอิสลามโดยรวม
กฎหมายอิสลาม แบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ ๆ คือ
1. หมวดการประกอบศาสนกิจ (اَلْعِبَادَات) ซึ่งกล่าวถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลกับอัลลอฮฺ เช่น การละหมาด การจ่ายซะกาฮฺ การถือศีลอด และการประกอบพิธีหัจญฺ เป็นต้น
2. หมวดปฏิสัมพันธ์ (اَلْمُعَامَلاَت) หมายถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เช่น การซื้อขาย การทำธุรกรรมรูปแบบต่าง ๆ การสมรส และการตัดสินข้อพิพาท เป็นต้น
ในส่วนของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ ได้แบ่งหมวดของกฎหมายอิสลามออกเป็น 4 หมวด คือ
(1) หมวดการประกอบศาสนกิจ اَلْعِبَادَات))
(2) หมวดปฏิสัมพันธ์ (اَلْمُعَامَلاَت)
(3) หมวดลักษณะอาญา (اَلْعُقُوْبَات)
(4) หมวดการสมรส (اَلزَّوَاجُ) หรือกฎหมายครอบครัว (أحْكَامُ الأُسْرَةِ)
จากสิ่งที่กล่าวมา ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า กฎหมายอิสลามมีความครอบคลุมถึงเรื่องราวทางศาสนาและทางโลก ในขณะที่หลักนิติธรรมอิสลามตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานของการจัดระเบียบที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกมิติของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางจิตวิญญาณ จริยธรรม และวัตถุ
ที่มาของกฎหมายอิสลาม
ที่มาของกฎหมายอิสลามถูกเรียกว่า หลักฐานทางศาสนบัญญัติ (اَلأَدِلَّةُ الشَّرْعِيَّةُ) หรือ หลักมูลฐาน (اَلأُصُوْلُ) ซึ่งนักกฎหมายอิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่ามี 4 ประการ คือ
1. อัล-กุรฺอาน (اَلْقُرْآن)
2. อัล-หะดีษ (اَلْحَدِيْثُ)
3. อัล-อิจญฺมาอฺ (اَلإِجْمَاعُ)
สามประการนี้เรียกว่า หลักฐานอันเป็นตัวบทที่มีการรายงานสืบเนื่องกันมา (اَلأَدِلَّةُ النَّقْلِيَّةُ)
4. อัล-กิยาส (اَلْقِيَاسُ) หลักข้อนี้จัดอยู่ในหมวดหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญา (اَلأَدِلَّةُ الْعَقْلِيَّةُ) ซึ่งนักกฎหมายอิสลามได้ผนวกประเภทของหลักฐานในหมวดนี้เอาไว้แตกต่างกัน เช่น อัล-อิสติหฺสาน อัล-อิสติสหาบฺ อัลอุรฺฟ และอัล-มะศอลิฮุลมุรฺสะละฮฺ เป็นต้น
นักวิชาการเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามทั้ง 4 ประการนี้ว่า หลักฐานปฐมภูมิ (اَلأَدِلَّةُ الأَسَاسِيَّةُ) และเรียกประเภทอื่น ๆ ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดของหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญาว่า หลักฐานสืบเนื่อง (اَلأَدِلَّةُ التَّابِعِيَّةُ) หรือ หลักฐานทุติยภูมินั่นเอง
อัล-กุรฺอาน หรือกิตาบุลลอฮฺ (كِتَابُ اللهِ) คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ประทานลงมาให้นบีมุฮัมมัดเป็นภาษาอาหรับ เพื่อเป็นปาฏิหาริย์แม้สูเราะฮฺที่สั้นที่สุด พระดำรัสนั้นถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ซึ่งถ่ายทอดแบบมุตะวาติรฺ และเป็นอิบาดะฮฺด้วยการอ่าน เริ่มต้นด้วยบทอัล-ฟาติหะฮฺ และจบลงด้วยบทอัน-นาส อัลกุรฺอานมี 114 สูเราะฮฺ แบ่งออกเป็น 30 ญุซอฺ ซึ่งนับเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลาม และเป็นที่มาของบทบัญญัติและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
1. หลักความเชื่อ
2. หลักจริยธรรม
3. หลักปฏิบัติซึ่งครอบคลุมทั้งหมวดการประกอบศาสนกิจ عِبَادَات)) และหมวดปฏิสัมพันธ์ (مُعَامَلاَت) โดยหมวดปฏิสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น หลักการครองเรือน กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายลักษณะอาญา กฎหมายธรรมนูญการปกครอง หลักวิธีพิจารณาคดีความทั้งแพ่งและอาญา หลักวิเทโศบายหรือกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักเศรษฐศาสตร์และการคลัง เป็นต้น
อัล-หะดีษ หรือ อัส-สุนนะฮฺ (اَلسُّنَّةُ) หมายถึง คำพูด การกระทำ หรือการยอมรับของนบีมุฮัมมัด ( ) ซึ่งเป็นคำสอนที่มีการจดจำ บันทึก ถ่ายทอดโดยผู้ใกล้ชิดและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา อัล-หะดีษเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลามในลำดับที่ 2 รองจากอัล-กุรฺอาน
อนึ่งนักกฎหมายอิสลามเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามในลำดับที่ 2 นี้ว่า อัส-สุนนะฮฺ เนื่องจากมีนัยกว้างและครอบคลุมมากกว่าคำว่า อัล-หะดีษ โดยแบ่งประเภทของอัส-สุนนะฮฺ ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นคำพูด คือ คำพูดที่นบีมุฮัมมัด ( ) กล่าวเอาไว้ในโอกาสและเป้าหมายต่าง ๆ เช่น หะดีษที่ว่า : “…..إنَّمَاالأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ” (อันที่จริงการปฏิบัติทั้งหลายขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา” เป็นต้น
2. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำ คือการกระทำที่นบีมุฮัมมัด ( ) ได้ปฏิบัติไว้ เช่น การปฏิบัติละหมาด 5 เวลา การประกอบพิธีหัจญฺ การตัดสินคดีความโดยใช้พยานและการสาบาน เป็นต้น
3. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการรับรอง คือ การที่นบีมุฮัมมัด ( ) นิ่งเงียบโดยไม่ปฏิเสธหรือคัดค้านคำพูด การกระทำที่เกิดขึ้นต่อหน้าท่าน ( ) หรือคำพูด การกระทำที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านโดยรับรู้ถึงคำพูด การกระทำนั้นโดยนบี ( ) เห็นด้วย แสดงความยินดี หรือถือว่าคำพูดหรือการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นต้น
ในส่วนของอัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำของนบีมุฮัมมัด ( ) นั้นนักวิชาการแบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. การกระทำต่าง ๆ อันเป็นอัธยาศัยของนบี ( ) เช่น การยืน การนั่ง การรับประทาน และการดื่ม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีข้อขัดแย้งว่าเป็นที่อนุมัติสำหรับนบี ( ) และประชาชาติของท่าน แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติคตามทัศนะของปวงปราชญ์
2. การกระทำต่าง ๆ ซึ่งมีการยืนยันว่าเป็นกรณีเฉพาะของนบีมุฮัมมัด ( ) เท่านั้น เช่น การถือศีลอดติดต่อกัน การอนุญาตให้มีภรรยาได้มากกว่า 4 คนในคราวเดียวกัน เป็นต้น การกระทำต่าง ๆ นี้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะนบี ( ) และไม่ต้องปฏิบัติตาม
3. การกระทำต่าง ๆ ที่นอกเหนือจาก 2 ชนิดแรก ซึ่งมีเป้าหมายในการวางบัญญัติทางศาสนา การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามโดยมีลักษณะแตกต่างกันไปว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น (وَاجِبٌ) ส่งเสริม (سُنَّةٌ) หรืออนุญาต (مُبَاحٌ) เป็นต้น
อัล-อิจญฺมาอฺ (اَلإِجْمَاعُ) หมายถึง การเห็นพ้องกันของบรรดานักปราชญ์ทางศาสนา (مُجْتَهِدٌ) จากประชาชาติของนบีมุฮัมมัด ( ) ในข้อบัญญัติทางศาสนา ภายหลังการเสียชีวิตของนบี ( ) ในยุคใดยุคหนึ่ง
อัล-อิจญฺมาอฺ มี 2 ชนิดคือ
1. การเห็นพ้องโดยชัดเจน (اَلإِجْمَاعُ الصَّرِيْحُ) คือ การที่บรรดานักปราชญ์ทางศาสนามีทัศนะ คำพูด และการกระทำพ้องกันต่อข้อชี้ขาดในประเด็นปัญหาหนึ่งที่เจาะจงแน่นอน เช่น มีการร่วมชุมนุมของบรรดานักปราชญ์ในสถานที่แห่งหนึ่ง นักปราชญ์แต่ละคนได้นำเสนอทัศนะของตนอย่างชัดเจนในข้อปัญหานั้น ๆ และทัศนะของทุกคนก็พ้องกันต่อข้อชี้ขาดของปัญหานั้น หรือการที่มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งตอบปัญหาศาสนาด้วยทัศนะหนึ่ง แล้วปรากฏว่าการตอบปัญหาศาสนาจากนักปราชญ์ผู้อื่นพ้องกันในข้อชี้ขาดนั้น ปวงปราชญ์ถือว่า อัล-อิจญฺมาอฺชนิดนี้เป็นหลักฐานทางศาสนา
2. การเห็นพ้องโดยนิ่งเงียบ (الإِجْمَاع السُّكُوْتِي) คือ การที่นักปราชญ์ทางศาสนาบางท่านในยุคหนึ่งได้กล่าวคำพูดเอาไว้ในประเด็นข้อปัญหาหนึ่ง และนักปราชญ์ผู้อื่นที่อยู่ร่วมสมัยนิ่งเงียบหลังจากที่รับรู้ถึงคำพูดนี้โดยไม่มีการปฏิเสธหรือคัดค้าน อัล-อิจญฺมาอฺชนิดนี้นักปราชญ์ทางศาสนามีความเห็นต่างกันในการถือเป็นหลักฐานทางศาสนา
อัล-กิยาส (اَلْقِيَاسُ) หมายถึง การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน
องค์ประกอบของอัล-กิยาสมี 4 ประการ ดังนี้
(1) หลักมูลฐาน (اَلأَصْلُ) หมายถึง ตำแหน่งของข้อชี้ขาดซึ่งได้รับการยืนยันด้วยตัวบทหรืออัล-อิจญฺมาอฺ หรือหมายถึง ตัวบทที่บ่งชี้ถึงข้อชี้ขาดนั้น
(2) ข้อปลีกย่อย (اَلْفَرْعُ) คือตำแหน่งที่ไม่มีตัวบทหรืออัล-อิจญฺมาอฺระบุข้อชี้ขาดไว้
(3) คุณลักษณะร่วมกันระหว่างหลักมูลฐาน และข้อปลีกย่อย คือเหตุผล (اَلْعِلَّةُ)
(4) ข้อชี้ขาดของหลักมูลฐาน (حُكْمُ الأَصْلِ)
ตัวอย่าง
ข้อชี้ขาดของไวน์คือเป็นสิ่งต้องห้าม (حَرَامٌ) เนื่องจากข้อชี้ขาดของไวน์ไม่มีตัวบทระบุชี้ชัดเอาไว้ ไวน์จึงเป็นข้อปลีกย่อย ในขณะที่สุรามีตัวบทบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งต้องห้าม สุราจึงเป็นหลักมูลฐาน เหตุผลที่สุราเป็นสิ่งต้องห้ามคือการทำให้มึนเมา และการทำให้มึนเมานี้ถือเป็นเหตุผล อันเป็นคุณลักษณะร่วมกันระหว่างสุราและไวน์ จึงมีข้อชี้ขาดว่า ไวน์เป็นสิ่งต้องห้ามตามข้อชี้ขาดของสุรานั่นเอง ซึ่งเป็นข้อชี้ขาดที่เกิดจากการใช้หลักอัล-กิยาส
หลักฐานที่บ่งชี้ว่า ที่มาทั้ง 4 ประการของกฎหมายอิสลามเป็นหลักฐานทางศาสนาคือ อัล-หะดีษที่มีรายงานว่า รสูลได้กล่าวแก่มุอาซฺ อิบนุญะบัล ขณะที่ส่งเขาไปยังเมืองยะมันว่า : “หากมีคดีความเกิดขึ้น ท่านจะตัดสินอย่างไร” มุอาซตอบว่า : “ฉันจะตัดสินด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮฺ” รสูล กล่าวว่า : “หากท่านไม่พบ (ข้อชี้ขาด) ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ท่านจะตัดสินอย่างไร” มุอาซฺตอบว่า : “ฉันจะตัดสินด้วยสุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺ” รสูลกล่าวว่า “หากท่านไม่พบในสุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺ ท่านจะตัดสินอย่างไร” มุอาซฺตอบว่า : “ฉันจะวินิจฉัยด้วยความเห็นของฉันโดยฉันจะไม่บกพร่อง” รสูลได้จับอกของมุอาซฺแล้วกล่าวว่า : “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่อัลลอฮฺ พระผู้ทรงเอื้ออำนวยให้ทูตของรสูลุลลอฮฺมีความคิดสอดคล้องกับสิ่งที่รสูลุลลอฮฺพึงพอใจ” (รายงานโดยอะหฺมัด อบูดาวูด อัต-ติรฺมีซียฺ อิบนุอะดียฺ อัฏ-ฏ็อบรอนียฺ อัด-ดารีมียฺและอัล-บัยฮะกียฺ เป็นหะดีษมุรฺสัล)
ความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม
นักวิชาการได้แบ่งช่วงเวลาที่กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด ( ) โดยเริ่มต้นตั้งแต่มีการประกาศศาสนาอิสลาม (ค.ศ.610) และสิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของนบี ( ) (ฮ.ศ.11/ค.ศ.636) ในช่วงเวลาดังกล่าว สาส์นแห่งอิสลามมิได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการชี้นำทางจิตวิญญาณ จริยธรรมและการประกอบศาสนกิจเท่านั้น แต่ยังได้จัดระเบียบกิจกรรมของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในโลกนี้อีกด้วย เหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงได้ยกเลิกขนบธรรมเนียมและประเพณีบางส่วนของชาวอาหรับในด้านการครองเรือน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ที่มาของกฎหมายอิสลามในช่วงแรกนี้จำกัดอยู่ใน 2 ประการคือ อัล-กุรฺอาน และอัส-สุนนะฮฺ ซึ่งเป็นรากฐานของกฎหมายอิสลามในลักษณะหลักมูลฐานต่าง ๆ โดยทั่วไป ตลอดจนกฎเกณฑ์พื้นฐานต่าง ๆ และจากหลักมูลฐานและกฎเกณฑ์พื้นฐานดังกล่าว นักปราชญ์ทางศาสนาได้วิเคราะห์หลักการที่มีรายละเอียดซึ่งจะกลายเป็นประมวลหลักนิติธรรมอิสลามในยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในการจัดระเบียบทางสังคม เศรษฐกิจ ระบอบรัฐศาสตร์ หลักการในการประกอบศาสนกิจและการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปของธุรกรรมต่าง ๆ
ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นนี้ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
ก) ระยะเวลาประมาณ 13 ปี ณ นครมักกะฮฺ ชาวมุสลิมเป็นชนส่วนน้อยที่มีความอ่อนแอ ถูกกดขี่ และมิได้มีส่วนร่วมในการปกครองนครมักกะฮฺซึ่งชนชั้นปกครองเป็นพวกตั้งภาคี ด้วยเหตุนี้บรรดาอายะฮฺอัล-กุรฺอานที่เรียกว่าอายะฮฺมักกียะฮฺ และบรรดาอัล-หะดีษของนบีมุฮัมมัด ( ) จึงกล่าวถึงการจัดระเบียบการปกครองและหลักการที่ว่าด้วยธุรกรรมต่าง ๆไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เน้นการอธิบายถึงหลักยึดมั่น หลักศรัทธาของศาสนา และเรียกร้องเชิญชวนสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ( ) การขัดเกลาจิตใจ และวิพากษ์ความเชื่อของพลเมืองมักกะฮฺที่ยึดติดกับการตั้งภาคีและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีบ่อเกิดจากอวิชชา ส่วนการประกอบศาสนกิจในระยะแรกที่มีบัญญัติไว้คือเรื่องการละหมาดเท่านั้น
ข) ระยะเวลา ประมาณ 10 ปี ณ นครมะดีนะฮฺซึ่งเริ่มต้นภายหลังการอพยพ (اَلْهِجْرَةُ) ของ นบี ( ) และบรรดาเศาะหาบะฮฺจากนครมักกะฮฺสู่นครมะดีนะฮฺ ชาวมุสลิมได้สถาปนารัฐอิสลามขึ้น ณ นครมะดีนะฮฺ โดยมีโครงสร้างของรัฐอันประกอบด้วยพลเมือง คือ ผู้อพยพที่เรียกว่า “مُهَاجِرُوْنَ” และพลเมืองมะดีนะฮฺที่เรียกว่า “أَنْصَارٌ” ตลอดจนชาวยิวและชนอาหรับกลุ่มอื่น ๆ มีดินแดนคือ นครมะดีนะฮฺและเขตปริมณฑล และมีระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการรวมอยู่ในประมุขสูงสุดของรัฐ คือนบีมุฮัมมัด ( ) ทั้งนี้นบี ( ) ได้มีพันธสัญญาที่เรียกว่า “الصَّحِيْفَةُ” ซึ่งเป็นปฏิญญาที่พลเมืองของมะดีนะฮฺยอมรับร่วมกันทุกฝ่ายโดยมีสถานะเช่นเดียวกับ รัฐธรรมนูญ ตามคำนิยามของนักวิชาการร่วมสมัย ในระยะเวลานี้ประมวลกฎหมายอิสลามที่เป็นแม่บทในด้านต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการศาสนาและทางโลกได้ถูกกำหนดวางอย่างเป็นกิจจะลักษณะและมีความครบถ้วนสมบูรณ์
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด จนถึงการล่มสลายของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750) ทางด้านการเมืองนั้นครอบคลุมสมัยของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม (ฮ.ศ.11-41/ค.ศ.632-661) และสมัยของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ (ฮ.ศ.41-132/ค.ศ.661-750) ส่วนทางด้านกฎหมายอิสลามนั้นครอบคลุมสมัยของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ชนรุ่นตาบิอีนและตาบิอิตตาบิอีนซึ่งเรียกว่า “ยุคสะลัฟ ศอลิหฺ” ในช่วงเวลาที่ 2 นี้มีการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ ความคิดและการเมืองที่ส่งผลต่อพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม และมีการวิเคราะห์อย่างทุ่มเททางสติปัญญาที่เรียกว่า “อัล-อิจฺญติฮาด” เกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่การปรากฏหลักฐานในการชี้ขาด 2 ประการ คือ อัล-อิจฺญมาอฺและอัล-กิยาส ตลอดจนระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺก็ปรากฏชัดในฐานะระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์อิสลามอีกด้วย
พัฒนาการที่เด่นชัดในช่วงเวลานี้คือ
1. ศาสนาอิสลามแผ่ปกคลุมดินแดนของรัฐอิสลามที่มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกจรดประเทศจีน มหาสมุทรอินเดีย และเขตตอนกลางของแอฟริกาทางทิศใต้ จรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก และมีอาณาเขตทางตอนเหนือครอบคลุมทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ และหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงภาคใต้ของฝรั่งเศสและคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน)
2. ภาษาอาหรับมีความแพร่หลายและกลายเป็นภาษาทางราชการและวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ
3. มีความตื่นตัวในการแปลตำรับตำราจากภาษาอื่น ๆ เป็นภาษาอาหรับและมีการสร้างผลงานทางวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ
4. บรรดาเศาะหาบะฮฺและชนรุ่นตาบิอีนได้กระจายไปตั้งหลักแหล่งในหัวเมืองต่าง ๆ ที่ถูกพิชิตนับตั้งแต่ยุคของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน เป็นผลทำให้เกิดเมืองแห่งวิชาการตามมา เช่น เมืองกูฟะฮฺ บัศเราะฮฺ ฟุสฏอฏ และแบกแดด เป็นต้น
5. เกิดกลุ่มสำนักทางความคิดหลากหลาย เช่น กลุ่มอัล-เคาะวาริจญฺ กลุ่มชีอะฮฺ กลุ่มมุรญิอะฮฺและกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ เป็นต้น
(3) ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750) และสิ้นสุดลงด้วยการปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาดในตอนปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช นับเป็นยุคทองของกฎหมายอิสลาม ในช่วงนี้มีการรวบรวมและจดบันทึกอัล-หะดีษของนบีมุฮัมมัด และกฎหมายอิสลาม ตลอดจนมีการปรากฏบรรดาสำนักกฎหมายอิสลามซึ่งเรียกว่า “มัซฮับ” ได้แก่
1. มัซฮับหะนะฟียฺ มีอิมามอบูหะนีฟะฮฺ อัน-นุอฺมาน อิบนุ ษาบิต (ฮ.ศ.70-150) เป็นผู้นำ แนวทางของสำนักนี้เปิดกว้างในการใช้ทัศนะและหลักเหตุผลในการวิเคราะห์ตัวบททางศาสนา
2. มัซฮับมาลิกียฺ มีอิมามมาลิก อิบนุ อะนัส อิบนิ อบีอามิรฺ (ฮ.ศ.95-179)นักปราชญ์แห่งนครมะดีนะฮฺในแคว้นอัล-ฮิญาซฺและนักวิชาการสายอัล-หะดีษเป็นผู้นำ
3. มัซฮับชาฟิอียฺ มีอิมามอบูอับดิลลาฮฺ มุฮัมมัด อิบนุ อิดรีส อัช-ชาฟิอียฺ (ฮ.ศ.150-204) เป็นผู้นำ มีแนวทางสายกลางที่รอมชอมระหว่างการใช้ทัศนะและการยึดถือตัวบท
4. มัซฮับฮัมบะลียฺ มีอิมามอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัล อัช-ชัยบานียฺ (ฮ.ศ.164-241)เป็นผู้นำ แนวทางของสำนักนี้ยึดถือตัวบทอย่างเคร่งครัดและไม่ยอมรับการใช้ทัศนะเหมือนอย่างมัซฮับหะนะฟียฺ
มัซฮับหะนะฟียฺ เป็นแนวทางที่แพร่หลายในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอุษมานียะฮฺแห่งตุรกี ตลอดจนกลุ่มประเทศมุสลิมในเอเชียกลางและเอเชียใต้ ส่วนมัซฮับมาลิกียฺนั้นเป็นที่นิยมในหมู่ชาวแอฟริกา ในขณะที่มัซฮับชาฟิอียฺ เป็นที่นิยมของชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เยเมน และอียิปต์ ส่วนมัซฮับฮัมบะลียฺนั้นเป็นมัซฮับที่ยึดถือเป็นทางการในประเทศซาอุดิอาระเบีย และมีผู้นิยมน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับมัซฮับอื่น ๆ
(4) ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ ) เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด ในปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช และดำเนินเรื่อยมาจนทุกวันนี้ ในด้านการเมือง โลกอิสลามในช่วงที่ 4 นี้แตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย มีกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มิใช่ชาวอาหรับเข้ามามีอำนาจผลัดเปลี่ยนกัน เช่น ชาวเติร์ก (ตุรกี) ชาวเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นต้น และเนื่องจากมุสลิมขาดความสามัคคีและเอกภาพทำให้ดินแดนของชาวมุสลิมตกอยู่ใต้อาณัติของกลุ่มประเทศตะวันตกที่ล่าอาณานิคม โดยเฉพาะภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรอุษมานียะฮฺแห่งตุรกี มีการประกาศยกเลิกระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺในปีค.ศ.1924 ผลจากการล่าอาณานิคมของกลุ่มประเทศตะวันตกทำให้กฎหมายอิสลามส่วนใหญ่ถูกยกเลิก และมีการนำกฎหมายตะวันตกเข้ามาใช้แทน ภายหลังจากการที่กลุ่มประเทศมุสลิมได้รับเอกราชจากกลุ่มประเทศตะวันตกได้มีการเรียกร้องให้หันมาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูกฎหมายอิสลาม และนำมาบังคับใช้อีกครั้ง ซึ่งกระแสการเรียกร้องดังกล่าวเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
ความสำคัญของกฎหมายอิสลาม
กฎหมายอิสลามมีอัล-กุรฺอานและอัล-หะดีษเป็นแม่บทที่สมบูรณ์ครบถ้วน และเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของมุสลิม ที่กำหนดภารกิจของมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ ( ) หน้าที่ต่อตัวเอง และหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยมีเป้าหมายในการพิทักษ์คุ้มครองสิ่งสำคัญ 5 ประการ คือ ศาสนา ชีวิต สติปัญญา สายโลหิต และทรัพย์สิน
ความสำคัญของกฎหมายอิสลามมี ดังนี้
(1) กฎหมายอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตที่มุสลิมทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ทั้งนี้การปฏิบัติตามกฎหมายอิสลามมีผลทำให้ปัจเจกบุคคลมีความเป็นปกติสุข และทำให้สังคมโดยรวมเกิดความสันติสุข
(2) กฎหมายอิสลามได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคลและสิทธิประโยชน์ส่วนรวมไว้อย่างมีดุลยภาพและครบถ้วน ชัดเจน มีความเป็นธรรมและสมเหตุสมผล ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัย
(3) กฎหมายอิสลามได้จัดระเบียบสังคมทุกระดับตามครรลองที่ถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และมุ่งพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย
กิจกรรมท้ายบท
1. อภิปรายหัวข้อ “ที่มาของกฎหมายอิสลาม” โดยแบ่งกลุ่มระดมความคิด แล้วส่งตัวแทนออกมาอภิปรายร่วม
2. แบ่งกลุ่มจัดทำรายงานหัวข้อ “ความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม” โดยค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
3. ครูผู้สอนตั้งประเด็นเพื่อสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนในหัวข้อ “ยาเสพติด 4 คูณร้อยกับข้อชี้ขาดทางศาสนา” (ในเรื่องหลักการอัล-กิยาส)
กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด
(3) ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750)
(4) ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ ) เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด ในปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช
วิวัฒนาการของกฏหมายอิสลามมี 4 ช่วงที่สำคัญคือ
1. ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
ก) ระยะเวลาประมาณ 13 ปี ณ นครมักกะฮฺ
ข) ระยะเวลา ประมาณ 10 ปี ณ นครมะดีนะฮฺ
2. ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด จนถึงการล่มสลายของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ
3. ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750) และสิ้นสุดลงด้วยการปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาดในตอนปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช
4. ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ ) เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด ในปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช และดำเนินเรื่อยมาจนทุกวันนี้
วิวัฒนาการของกฎหมายอิสลามมีอยู่ 4ช่วงได้แก่
1.ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น
2.ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม
3.ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เลขที่
4.ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ )
กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด
(3) ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750)
(4) ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ ) เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด ในปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช
กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม
3.ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์
4.ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ )
กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม
3.ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์
4.ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ )
กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้
(1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด
(2) ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด
(3) ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์ เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750)
(4) ช่วงการถือตาม (اَلتَّقْلِيْدُ ) เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด ในปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช
อุซต๊าด ครับ