ผมเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกนี้จากการอ่านเรื่อง Universities vow to fight interference ใน นสพ. เดอะ เนชั่น ฉบับวันที่ ๒๓ กค. ๔๙ ซึ่งกล่าวถึง World University President Summit ที่พัทยาซึ่งจบไปเมื่อวาน และออกแถลงการณ์ Bangkok Declaration ย้ำเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยใน ๘๘ ประเทศที่จะเป็นอิสระจากการเมือง และจากการค้า
ผมเชียร์เจตนารมณ์นี้เต็มที่ และเขียนบันทึกนี้เพื่อเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ
ผมมีความเห็นว่ามหาวิทยาลัยมีหน้าที่หลักคือสร้างสรรค์ปัญญาให้แก่สังคม (และแก่โลก) การจะทำหน้าที่นี้ได้ ต้องมีอิสระ ที่เรียกว่า ความเป็นอิสระทางวิชาการ (Academic Freedom) ซึ่งจะต้องไม่ถูกการเมืองแทรกแซง และต้องระวังไม่ถูกธุรกิจแทรกแซงด้วย พูดรวมๆ คืออิสระจากอิทธิพลทั้งปวง
ในความเป็นจริง ในหลายกรณี คนมหาวิทยาลัยเองนั่นแหละ ที่ไปแสวงหาความผูกพันกับผู้มีอำนาจ (การเมือง เงิน สังคม) เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือส่วนองค์กร บางครั้งก็เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ทางการเมืองภายในมหาวิทยาลัยเอง หรือเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมี connection สูง ที่จะดึงเอางบประมาณหรือทรัพยากรมาเข้ามหาวิทยาลัย
ที่จริงการมี connection เป็นของดีนะครับ แต่ต้องเป็น connection ที่เป็นอิสระต่อกัน ไม่ขึ้นต่อกัน แต่ในสังคมไทยเราหลายกรณีเป็น connection แบบจงรักภักดี ถ้าจะเป็นพวกกันไม่ว่าจะผิดหรือถูกต้องว่าตามกัน วิธีคิดแบบนี้เป็นพิษต่อความเป็นอิสระทางวิชาการ
ที่ยอมไม่ได้ คือการที่รัฐบาลบอก หรือแสดงท่าที ว่า ถ้าต้องการงบประมาณ ก็ต้องสนับสนุนรัฐบาล หรือสนับสนุนพรรคการเมืองของนายก ห้ามออกมาเสนอผลงานทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล นี่มันรัฐบาลหรือนายกที่ไม่ให้เสรีภาพทางวิชาการแก่มหาวิทยาลัยครับ
นายกที่ออกมาพูดโจ่งแจ้งว่าถ้าอยากได้งบประมาณบำรุงพื้นที่มากๆ ก็ต้องเลือกพรรคตน และพูดชัดแจ้งว่าภาคใดไม่เลือกพรรคตัวก็ไม่ต้องสนับสนุนงบประมาณเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลนี้ไม่เคารพเสรีภาพทางการเมือง และก็พอจะเดาออกว่าเขาจะไม่ชอบให้นักวิชาการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการด้วย
ดังนั้นมหาวิทยาลัย ต้องร่วมกันออกมาแสดงท่าทีให้ชัดแจ้ง ว่าถ้าจะให้มหาวิทยาลัยทำประโยชน์แก่สังคมได้อย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยต้องไม่ถูกแทรกแซงจากการเมือง ทั้งทางตรงและทางอ้อม และต้องแสดงออกให้เป็นรูปธรรมด้วย ว่าท่าทีแบบไหน ของใคร เมื่อไร ในกรณีใด ที่เป็นการจำกัดเสรีภาพทางวิชาการของมหาวิทยาลัย เราต้องไม่กลัวอำนาจมืดครับ
นายกทักษิณเป็นนายกที่แสดงอำนาจมืดในการปิดกั้นเสรีภาพทางวิชาการมากที่สุดครับ ท่านบอกว่าการให้ทุนวิจัยนั้น อย่าไปคิดโจทย์วิจัยเอง โจทย์วิจัยคือนโยบายรัฐบาล นักวิจัยต้องช่วยกันวิจัยว่าทำอย่างไรนโยบายของรัฐบาลจึงจะบรรลุผล นี่คือการแสดงอำนาจมืดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
วิจารณ์ พานิช
๒๓ กค. ๔๙
ขอยกมือเห็นด้วยค่ะ
ใช่เลยครับ อาจารย์หมอ
เพราะปัจจุบันสังคมของเราถูก "การเมือง" เข้าไปคุกคามถึงในมุ้ง ทุกที่ทุกเวลาทุกอย่างเป็นการเมืองหมดเลยครับ
ในมหาวิทยาลัย "การเมือง และผลประโยชน์" ก็คืนคลานเข้ามา จุดมุ่งหมายในการทำงานทุก ๆ ส่วนของมหาวิทยาลัย หลาย ๆ อย่างมองเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของนักศึกษาครับ
สถาบันการศึกษา สถาบันที่อุดมไปด้วยปัญญา น่าจะใช้ปัญญาให้เป็นภูมิคุ้มกันอำนาจทางการเมืองด้วยครับ
ถ้าอย่างไรฝากอาจารย์หมอช่วยให้สถาบันการศึกษาปลอดการเมืองด้วยนะครับ นักศึกษาจะได้รับประโยชน์มากกว่าผู้บริหารครับ
บัณฑิต ที่เที่ยงธรรม ( อิสระ จาก โลภะ โทสะ โมหะ ) จึงคู่ควรแก่การเป็น ปราชญ์ ครุ
ปราชญ์ และ ครุ บ่อยครั้ง ก็ไม่ได้สะสม ทรัพย์และชื่อเสียง มัวแต่แสวงหา ความจริง สัจจธรรม ที่มนุษย์ในโลกียวิสัย ไม่ค่อยชอบฟัง เช่น
ให้ ประมาณในการบริโภค ทำใจให้ผ่องใสแยบคาย
ขอบพระคุณครับ .. โดนใจมาก