เพื่อนๆ ทราบไหมค่ะว่า วันพิพิธภัณฑ์ไทย คือ วันไหน และวันนี้มีความสำคัญอย่างไร
พวกเราชาวพิพิธภัณฑ์จะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 19 กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานขึ้นที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2417 จากนั้นจึงเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ทุกปี
วันนี้จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของประเทศไทย พิพิธภัณฑสถานต่างๆ ได้มีการจัดกิจกรรมมากมายในวันนี้ค่ะ สำหรับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร จัดให้เข้าชมฟรีในวันนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าปีวันพิพิธภัณฑ์ไทยตรงกับวันจันทร์ ซึ่งเป็นหยุดของพิพิธภัณฑ์ (พิพิธภัณฑ์ฯ ชุมพร เปิดให้บริการวันพุธ - อาทิตย์ ปิดวันจันทร์ และวันอังคาร) ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากทราบความเป็นมาอย่างละเอียดสามารถเข้ามาค้นคว้าข้อมูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ได้ค่ะ พวกเรายินดีต้อนรับเสมอค่ะ
ประวัติวันพิพิธภัณฑ์ไทย คือวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานให้ประชาชนเข้าชม ในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ ณ หอคองคอเดีย อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระกรุณาโปรดเกล้าจัดทำเป็นพิพิธภัณฑสถาน กรมศิลปากรถือว่าวันที่ ๑๙ กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย
ขอให้ช่วยดูข้อมูลในเรื่องของพ.ศ.ด้วยนะคะ
๑๙ กันยายน วันพิพิธภัณฑ์ไทย |
เมื่อ ปีพ.ศ. ๒๔๐๒
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งขึ้นในพระบรมมหาราชวังและพระราชทานนามว่า
“ประพาสพิพิธภัณฑ์”
เพื่อใช้เป็นที่จัดตั้งแสดงศิลปะโบราณวัตถุที่ทรงรวบรวมไว้
แต่มิได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม
โดยเรียกพิพิธภัณฑสถานในครั้งนั้นทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “มิวเซียม”
ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งมิวเซียมหลวงขึ้นที่หอคองคอเดีย หรือศาลาสหทัยสมาคม ภายในพระบรมมหาราชวังชั้นนอกเพื่อจัดแสดงสิ่งของต่างๆ และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรก เนื่องในการเฉลิมพระชนมายุครบ ๒๑ พรรษา โดยมีพิธีเปิด เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ ดังนั้น จึงถือว่า วันนี้เป็นวันกำเนิดกิจการพิพิธภัณฑ์สถาน สำหรับประชาชนในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ คณะรัฐมนตรีก็ได้ประกาศให้วันนี้เป็น “วันพิพิธภัณฑ์ไทย” สำหรับ มิวเซียมหลวงที่หอคองคอเดีย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดตั้งขึ้นนี้ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะในการเฉลิมพระชนมพรรษาต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี จนถึงปีพ.ศ. ๒๔๓๐ พระองค์ได้ย้ายมิวเซียมหลวงจากพระบรมมหาราชวังไปจัดตั้งในพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ซึ่งมิวเซียมหลวงแห่งนี้ถือเป็นจุดกำเนิดพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย ซึ่งต่อมาก็คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครนั่นเอง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ให้ความหมาย “พิพิธภัณฑสถาน” ว่า สถานที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรมหรือด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ อนึ่ง พิพิธภัณฑสถานที่พบเห็นโดยทั่วไป แบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑.แบ่งตามลักษณะของการบริหาร หรือผู้เป็นเจ้าของ/ผู้ดูแลอย่างหนึ่ง เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑสถานเอกชน พิพิธภัณฑสถานเทศบาล และพิพิธภัณฑสถานจังหวัด เป็นต้น ๒.แบ่งตามลักษณะของสิ่งที่รวบรวมไว้ หรือตามแขนงวิชา เช่น พิพิธภัณฑสถานวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์เด็ก และพิพิธภัณฑสถานศิลป เป็นต้น ปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานที่มีอยู่หรือนิยมจัดตั้งทั่วไปจะมีหลากหลายชนิด ยกตัวอย่าง เช่น ๑.พิพิธภัณฑสถานประเภททั่วไป หรือประเภทรวม ซึ่งเรียกว่า General Museum จะเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวิชาการทุกแขนงทั้งศิลปะ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา ส่วนมากจะเป็นวัตถุที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ได้แก่ ศิลปโบราณวัตถุ ของที่ระลึก เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์โบราณ ของหายาก ตลอดจนของใช้ต่างๆที่เก่าแก่เลิกใช้แล้ว ฯลฯ ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแบบทั่วไปนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งเอเซียและยุโรป รวมทั้งไทย เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น ๒.พิพิธภัณฑสถานศิลป (Museum of Arts) จะหมายถึงพิพิธภัณฑสถานที่จัดแสดงศิลปวัตถุทุกประเภท ทั้งประณีตศิลป ศิลปะตกแต่งหรือศิลปประยุกต์ อาทิ -พิพิธภัณฑสถานศิลปประยุกต์ (Applied Art) หรืออาจจะเรียกเป็นอย่างอื่น เช่น พิพิธภัณฑสถานศิลปอุตสาหกรรม (Industrial Art ) พิพิธภัณฑสถานหัตถศิลป (Museum of Craft) ซึ่งเป็นที่จัดแสดงวัตถุที่เป็นงานฝีมือ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ อันได้แก่ เครื่องเรือน เครื่องเงิน เช่น ที่ Victoria and Albert Museum ในกรุงลอน ประเทศอังกฤษ เป็นต้น -หอศิลป (Art Gallery)หรือหอศิลปสมัยใหม่ (Museum of modern art) เป็นที่จัดแสดงจิตรกรรม(ภาพเขียน) และประติมากรรมของศิลปินที่มีชื่อเสียงตั้งแต่โบราณเรื่อยมาถึงร่วมสมัย เช่น หอศิลปเจ้าฟ้า พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทย ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑสถานศิลปประเภทการแสดง (Performing Art) อย่างละคร ภาพยนตร์ นาฏศิลป และการดนตรี เช่น พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ที่วัดตะเคียน จ.ลพบุรี ๓.พิพิธภัณฑสถานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and technology) เป็นสถานที่จัดแสดงวิวัฒนาการความก้าวหน้าของวัตถุที่มนุษย์คิดค้นและประดิษฐ์ขึ้น เช่น ยานพาหนะ โทรคมนาคม และเรื่องราววิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของไทย ที่จังหวัดปทุมธานี ๔.พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา (Natural science) จะจัดแสดงเรื่องของธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องของโลก ดิน หินแร่ มนุษย์ สัตว์และพืช เป็นต้น ซึ่งมักจะรวมไปถึงสวนสัตว์ สวนพฤกษชาติ วนอุทยาน และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไว้ด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่บางแสน พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่จ.กาฬสินธุ์และจ.ขอนแก่น เป็นต้น ๕.พิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์ จะจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงชีวิต ความเป็นอยู่ หรือวัฒนธรรมและประเพณีพื้นเมือง ซึ่งบางแห่งอาจจะรวบรวมและจัดแสดงทางประวัติศาสตร์ด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม เช่น พิพิธภัณฑ์สงครามโลก ครั้งที่ ๒ จ.กาญจนบุรี พิพิธภัณฑสถานสงครามเก้าทัพ เป็นต้น นอกจากนั้น บางแห่งยังมีลักษณะเป็นบ้านประวัติศาสตร์ (Historic House) คือเป็นอาคาร สถานที่ที่มีความสำคัญทางประว้ติศาสตร์ จัดแสดงตามสภาพความเป็นจริง เช่น บ้านซอยสวนพลู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หรืออาจจะมีลักษณะเป็นโบราณสถาน อนุสาวรีย์ และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าชม เช่น ปราสาทหินพิมาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งในต่างประเทศยังมีพิพิธภัณฑสถานที่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ คือเมืองที่สงวนไว้เป็นประวัติศาสตร์ทั้งเมือง เช่นเมือง Williamsberg ในสหรัฐฯ อันเป็นเมืองหลวงสมัยอเมริกาเป็นอาณานิคมอีกด้วย ๖.พิพิธภัณฑสถานชาติพันธุ์วิทยาและประเพณีพื้นเมือง (Museum of Ethnology and Folklore) เป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ รวมถึงการจำแนกชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น พิพิธภัณฑสถานพื้นบ้าน (Folk Museum) ที่เป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พื้นเมือง หรือของใช้ของชาวบ้านสามัญชนในท้องถิ่นต่างๆในแต่ละสมัย อย่าง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี บูรณเขตต์ จ.พิษณุโลก เป็นต้น Dr. Douglas A. Allan ได้เขียนบรรยายจำแนกหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ว่า ได้แก่ การรวบรวม การตรวจพิสูจน์ การทำหลักฐาน การสงวนรักษา การจัดแสดง การให้การศึกษา และหน้าที่ต่อประชาชน ซึ่งหลักการดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ทุกชนิด ทุกประเภท ซึ่งยอมรับและปฏิบัติกันอยู่ จะแตกต่างกันแต่เพียงว่าพิพิธภัณฑ์ไหนจะเน้นหน้าที่ใดเป็นพิเศษเท่านั้น นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ยังควรจะเป็นศูนย์ชุมชน และบริการชุมชนซึ่งประกอบด้วยประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา เป็นสถานที่ซึ่งให้ทั้งความรู้ และความสนุกเพลิดเพลินบันเทิงใจด้วย ในอดีตที่ผ่านมา ตามความคิดเห็นของคนทั่วไป มักจะเห็นว่าพิพิธภัณฑ์เป็นเพียงสถานที่เก็บของเก่าแก่ ที่ห่างไกลไปจากชีวิตประจำวัน และไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวเขา ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะพิพิธภัณฑ์สมัยก่อนส่วนใหญ่จะมีลักษณะนิ่ง จัดแสดงสิ่งของอย่างเดียว ไม่มีกิจกรรมอื่นเสริมหรือสนองต่อความต้องการของสังคม ทั้งๆที่ โดยความเป็นจริงพิพิธภัณฑ์ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้รู้จักรากเหง้าความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทั้งของตน ชุมชน ท้องถิ่น รวมไปถึงประเทศชาติ ซึ่งการเรียนรู้ และศึกษาอดีตจะทำให้เรารู้เท่าทันสภาพความมา เป็นไปที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถวางแผนในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์หลายแห่งได้พัฒนารูปแบบและมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการนำเสนอ อีกทั้งมีกิจกรรมเชิงรุกทำให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิตชีวา และน่าสนใจยิ่งขึ้น สำหรับในบ้านเรา นอกเหนือไปจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่มีอยู่ทั่วประเทศสังกัดกรมศิลปากรที่มีหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้แล้ว ยังหน่วยงานอื่นๆทั้งภาครัฐ และเอกชนต่างก็ได้จัดทำพิพิธภัณฑ์ทั้งในแบบทั่วไป และเฉพาะอย่างทั้งในระบบและนอกระบบกระจายอยู่ทุกภูมิภาค โดยอาจจะเรียกชื่อต่างๆกันไป เช่น ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มี หออัครศิลปิน ซึ่งเป็นที่รวบรวมพระราชประวัติและผลงานด้านศิลปะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและศิลปินแห่งชาติทุกสาขา มีหอไทยนิทัศน์ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชนชาติไทยในแบบมัลติมีเดีย มีหอวัฒนธรรมวิวัฒน์ จัดแสดงความเป็นมาของกระทรวงวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม หรือในส่วนภูมิภาคก็มีหอวัฒนธรรมนิทัศน์ ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดที่เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ส่วนพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย พิพิธภัณฑ์ชาวนาไทย และพิพิธภัณฑ์ตามวัดต่างๆ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ในบ้านเราที่จัดทำโดยเอกชนและชุมชนในท้องถิ่นที่มีลักษณะเฉพาะของตน ปัจจุบัน เรามีพิพิธภัณฑ์เพิ่มขึ้นมากมายและหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมี“วันพิพิธภัณฑ์ไทย” อันวันรำลึกว่าเรามีพิพิธภัณฑ์สำหรับประชาชนเป็นครั้งแรก ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเริ่มต้นเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยเฉพาะควรถือเป็นภารกิจที่สำคัญของพิพิธภัณฑ์ทั้งหลายที่จะทำหน้าที่เป็น “แหล่งเรียนรู้ที่สร้างปัญญา”แก่เยาวชน ประชาชนและชุมชนของตนได้อย่างแท้จริง ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “...ต้องพยายามแนะนำชักจูงคนทั่วไปให้ทราบถึงกิจการ บริการ รวมทั้งประโยชน์ที่พึงจะได้รับจากพิพิธภัณฑสถาน เมื่อประชาชนได้รู้จัก ได้ใช้ และได้รับประโยชน์จากพิพิธภัณฑสถานโดยกว้างขวางแล้ว จะนับว่าเกิดประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าอย่างแท้จริง..." อมรรัตน์ เทพกำปนาท ประชาสัมพันธ์ สวช. กระทรวงวัฒนธรรม เรียบเรียงบางส่วนจากหนังสือ พิพิธภัณฑสถานวิทยา โดยจิรา จงกล |
ส่วนวันพิพิธภัณฑ์สากล ตรงกับวันที่ 18 พฤษภาคมของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 1977 เป็นต้นมา
หากประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ตระหนักในความสำคัญของวันพิพิธภัณฑ์ไทยนี้แล้ว เขาจะมีส่วนร่วมในวันพิพิธภัณฑ์ไทยนี้ได้อย่างไรบ้าง
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นและข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะคะ
ในวันพิพิธภัณฑ์ไทยพิพิธภัณฑสถานต่างๆ
ทั่วประเทศจะมีการจัดกิจกรรมในหลายรูปแบบ
เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน
อาจจะออกมาในรูปของนิทรรศการพิเศษหรือการจัดเสวนาหัวข้อทางวิชาการต่างๆ
ค่ะ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
ได้ที่พิพิธภัณฑสถานที่จัดกิจกรรมค่ะ