เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ศักดิ์ รัตนชัย ทำให้ผมย้อนระลึกถึงเมื่อคราวที่ได้ไปกราบคารวะท่านเพื่อขอศึกษาการเขียน อักขระ ตัวอักษรธรรม คำเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการย้อนศึกษาถึงมรดกทางภาษาที่แสดงถึงความเป็นชาติของเรา ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทำให้พวกเราทุกคนได้ภาคภูมิใจในความเป็นอัจฉริยะของบรรพชนที่ได้สร้างตัว อักษรไทย เพื่อถ่ายทอดมรดกทางปัญญาไว้ให้กับลูกหลานถึงรุ่นปัจจุบัน ดังจะหาศึกษาได้จากบันทึกใบลานในวัดต่างๆ ที่มีตำราจารไว้บนใบลาน ที่เป็นประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยาโบราณ หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจรากฐานของตัวเราเอง ผ่านการศึกษาจากอดีต อาจารย์ศักดิ์ เป็นผู้ที่เปิดโลกทางความคิด และจิตวิญญานในการรักความเป็นไทยให้กับพวกเราทุกคนอย่างแยบยลและได้ผลอย่างยอดเยี่ยม
เนื่องจากพวกเราอยู่ที่ชมรมศิลปป้องกันตัว เดิมทีเราได้ศึกษามวยไทย(ไชยา) และกระบี่กระบองกันเป็นเวลาพอสมควร ทุกคนล้วนแต่มีใจอยากจะค้นคว้าศึกษาศิลปะการต่อสู้ของทางภาคเหนือดูบ้าง และท่านอาจารย์ศักดิ์เอง ก็เป็นคนที่เปิดมุมมองใหม่ให้พวกเราทุกคน ได้เห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่ซ่อนการอนุรักษ์มรดกด้านการต่อสู้ของทางเหนือเอาไว้ให้ลูกหลานที่เป็น เยาวชนที่จุมสะหรีวัดกู่คำ โดยที่เด็กๆ เหล่านั้นไม่ได้รู้เลยว่า เขาโชคดีมากที่ได้มีโอกาสเรียนสุดยอดศิลปะการต่อสู้ของบรรพชน ผ่านลีลาของนาฏยศิลป์ อาจารย์ศักดิ์ได้สอนการเดินขุมเท้าให้พวกเราหลายท่า เช่น ขุมสี่ตอเจิง ขุมแปดเล่ แม่ขุมสิบหก มะผาบห้า แต่ละท่วงท่าใช้ในการเดินตีมวยเข้าหากัน ซึ่งทางเหนือเขาเรียกกันว่ามวยเมือง สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนด้านการต่อสู้ที่เป็นท่าย่างสามขุมมาก่อน เมื่อเห็นท่าเดินขุมเท้าของอาจารย์ศักดิ์ ก็จะดูเหมือนกับท่านร่ายรำธรรมดา แต่สำหรับผมแล้ว ผมกลับเห็นวิธีการสอนการเดินย่างสามขุมในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สอนให้เราเข้าใจลีลาตัว การวางน้ำหนักเท้า การพลิกเหลี่ยม การจรดมวย การก้าวฉาก การหมุนตัว และอื่นๆ อีกมากมาย ทีสามารถปรับใช้เป็นต่อสู้ป้องกันตัวได้ทั้งหมด เพียงแต่อาจารย์บอกว่า มวยเมืองของทางเหนือเขามีไว้รำ ไม่ได้เอาไว้ใช้ตีกันจริงๆ แต่ถ้าอาจารย์ชูพงศ์จะเอาไปปรับใช้ก็ไม่ว่าอะไร เพราะอาจารย์มีพื้นการต่อสู้อยู่แล้ว ผมรู้สึกถึงความเมตตาของอาจารย์ศักดิ์ ที่มีต่อพวกเราทุกคน ท่านเคยบอกว่า ท่านจะไม่สอนวิชาการฟันดาบหรือฟ้อนเจิงให้กับผู้ชาย เพราะวิชานี้มันร้อนและครูแรง เกรงจะไปใช้ในทางที่ไม่ดี ท่านจะสอนเฉพาะการเดินฟ้อนตีกลองปูชาสะบัดไชยเท่านั้น แต่สำหรับกลุ่มของพวกเราชาวจุฬาฯ ท่านก็ได้กรุณาใช้อุบายในการสอนให้โดยไม่ปิดบัง เพียงแต่ให้ถือกิ่งไม้แทนดาบแค่นั้นเอง
ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา นิสิตจุฬาฯ หลายต่อหลายรุ่น ต่างก็พยายามจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ศักดิ์ เพื่อเรียนรู้และรับการถ่ายทอดความรักในมรดกของสยามประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอักษรธรรม การไปเยือนพื้นที่สิบสามจุดประวัติศาสตร์ ทุ่งบัวตอง ซากดึกดำบรรพ์ช้างสี่งา การตีกลองปูชาสะบัดไชย ฟ้อนเจิง และอื่นๆ อีกมากมาย ท่านอาจารย์ศักดิ์ มีอะไรดีๆ ในตัวท่านมากมาย เรียกว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านยังไม่หลับ ท่านก็จะมีเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้พวกเราฟังอย่างสนุกสนาน ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ควรค่าแก่การเคารพบูชาอย่างยิ่ง ท่านทำทุกสิ่งเพื่อเป็นการเชื่อมต่อแนวความคิดจากอดีตสู่ลูกหลาน ท่านเป็นตำนานของปูชนียบุคคลแห่งนครลำปาง ที่พวกเราลูกหลานจะรำลึกถึงท่านตลอดกาล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชูพงศ์ ปัญจมะวัต
อดีต ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ( ตุลาคม 2547 ถึง มีนาคม 2551)
อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมศิลปป้องกันตัวและอาวุธไทย ( พฤษภาคม 2537 ถึง ปัจจุบัน )
ไม่มีความเห็น