การสังเกต
- การเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้น หรือปรากฏการณ์อย่างเอาใจใส่และกำหนดไว้อย่างมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์ หรือ หาความสัมพันธ์ ของสิ่งที่เกิดขึ้น นั้นๆ กับบริบทรอบข้าง
- เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างหนึ่งซึ่งอาจต้อง อาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์วิธีการสังเกตอย่างเป็นระบบ
- เพื่อเข้าใจลักษณะทางธรรมชาติ และขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของปรากฏการณ์ทางสังคมและพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นสมาชิก
ข้อมูลพฤติกรรมที่ได้จากการสังเกต
พฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย ได้แก่ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในสภาพปกติ สามารถสังเกตโดยการสุ่มเวลาและสุ่มสถานที่ในการสังเกตได้
พฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้ง มีทั้งการกำหนดสถานการณ์ในการสังเกตเพื่อให้ทุกคนที่ถูกสังเกตแสดงพฤติกรรมภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ทำให้สามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่นๆที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตได้ แต่บางครั้งอาจไม่ได้กำหนดสถานการณ์ขึ้นเอง แต่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นมาเองโดยไม่จงใจ ก็ได้
วิธีการสังเกต
การสังเกตทางตรง เป็นการสังเกตโดยผู้ถูกสังเกตได้สัมผัสกับบุคคลหรือเหตุการณ์นั้นโดยตรง โดยใช้ตาดู หูฟัง กายสัมผัส โดยอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง โดยจะต้องมีประสาทสัมผัสและมีความรู้ในเรื่องที่สังเกตเป็นอย่างดี
การสังเกตทางอ้อม เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้เฝ้าดูพฤติกรรมหรือเหตุการณ์นั้นด้วยตนเองแต่อาศัยถามจากผู้อื่นที่ได้สังเกตมา บางกรณีก็ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกว่าสังเกตเอง บางครั้งใช้การสังเกตจากเทปบันทึกภาพ (วีดีทัศน์) ก็ได้
หลักการสังเกตที่ดี
- กำหนดจุดมุ่งหมายของการสังเกตให้ชัดเจนว่าต้องการสังเกตใคร สังเกตอะไร สังเกตอย่างไร
- วางแผนขั้นตอนการสังเกตให้เป็นระบบ มีการเตรียมสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าให้เรียบร้อยเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นในการสังเกตให้พร้อม
- ศึกษาสถานการณ์ในช่วงเวลาที่จะสังเกตว่า ช่วงนั้น ผู้ถูกสังเกตกำลังทำอะไรอยู่ เพื่อจะได้วางแผนการสังเกตได้อย่างเหมาะสม
- สังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมาย ทีละเรื่อง
- ไม่ควรรีบร้อนสังเกตพฤติกรรมในระยะสั้น ควรรอจนกว่ากิจกรรมที่ต้องการสังเกตสิ้นสุดลงเสียก่อน
- พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติไม่ควรสังเกตเพียงครั้งเดียวเพราะอาจไม่ใช่พฤติกรรมที่แท้จริงก็ได้ ควรสังเกตหลายๆครั้งโดยการสุ่มเวลา และสุ่มสถานที่จะได้ผลแน่นอนกว่า
- ควรมีการบันทึกข้อมูลโดยเร็วที่สุด
- มีการตรวจสอบความเชื่อถือได้ของข้อมูลที่สังเกตได้ เช่น เปรียบเทียบผลการสังเกตกับบุคคลอื่น เปรียบเทียบผลจากการสังเกตหลายๆครั้ง
ลักษณะของผู้สังเกตที่ดี
- มีความรอบรู้ในเรื่องที่สังเกต ก่อนลงมือสังเกต ควรศึกษาจุดมุ่งหมายของการสังเกต ความรู้เกี่ยวกับบุคคลหรือปรากฏการณ์ที่จะสังเกต เข้าใจวิธีการสังเกตตลอดจนวิธีการบันทึกการสังเกตเป็นอย่างดี
- มีความตั้งใจในการสังเกต ควบคุมสมาธิให้จดจ่อกับเรื่องที่สังเกตได้ตลอดเวลา และต้องสังเกตทุกอย่างจนครบถ้วนอย่างถูกต้อง
- มีประสาทสัมผัสดี และร่างกายมีความพร้อมที่จะสังเกต
- มีความไวในการรับรู้ สามารถแปลและสื่อความหมายได้ถูกต้อง
- มีความเป็นกลาง ไม่ลำเอียงหรือมีอคติต่อบุคคลหรือพฤติกรรมที่สังเกตได้
ขั้นตอนในการสังเกต
- หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะไปสังเกตล่วงหน้า
- สร้างเครื่องมือสำหรับบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสังเกต เรียกว่าแบบสังเกต
- นำแบบสังเกตที่สร้างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้น ๆ อย่างน้อย 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา แล้วนำมาปรับปรุง
- นำแบบสังเกตที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเที่ยง
- กำหนดวิธีการจะไปสังเกต เช่น การสุ่มเวลาและสุ่มเหตุการณ์
ข้อดีของการสังเกต
- ได้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
- ไม่รบกวนหรือก่อความรำคาญให้แก่ผู้ถูกสังเกต เพราะการสังเกตที่ต้องไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว
- ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมีความน่าเชื่อถือ เพราะรวบรวมมาจากสถานการณ์จริง
- ในกรณีที่เป็นการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้สังเกตสามารถบันทึกข้อมูลได้ทันท่วงทีในขณะที่กำลังสังเกต
ข้อจำกัดของการสังเกต
- ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถส่วนตัวของผู้สังเกตเป็นอย่างมาก
- การสังเกตไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง บางทีอาจต้องใช้วิธีการสังเกตทางอ้อม หรือการสัมภาษณ์แทน
- เสียเวลาในการรอคอยรวบรวมข้อมูล หรือในทางตรงกันข้ามบางครั้งเหตุการณ์ต่างๆที่ต้องการสังเกตเกิดขึ้นพร้อมๆกันจนไม่สามารถสังเกตได้ทั่วถึง
- พฤติกรรมบางอย่างยากแก่การเข้าใจ การตีความ อาจถูกหรือผิดก็ได้
- การสังเกตอาจขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะที่สังเกต แรงจูงใจ ความสามารถ หรือความรู้สึกส่วนตัวต่อผู้ถูกสังเกต
ประเภทของการสังเกต
- การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)
ก. การสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ (Complete Participant) ผู้สังเกตจะเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่
ข. การมีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นผู้สังเกต (Participant as Observer) ผู้สังเกตจะไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
ค. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ (Observer as Participant) ผู้สังเกตใช้วิธีการสังเกตและสัมภาษณ์เป็นหลักโดยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมให้น้อยที่สุด
ประเภท ก. ปิดบังวัตถุประสงค์แท้จริงของตนเอง
ประเภท ข. และ ค. อาจอึดอัดใจบทบาทที่ขัดแย้งกันระหว่างการเป็นผู้วิจัยและการเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรม
- การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ( Non- participant Observation) เป็นการสังเกตที่ผู้วิจัยเฝ้าสังเกตอยู่วงนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มที่ทำการศึกษา เป็นเพียงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยเป็น
การสังเกตแบบไม่มีเค้าโครงกำหนดล่วงหน้า (Unstructured Observation หรือSimple Observation)
- ข้อดี คือ ทำให้ผู้สังเกตสามารถเก็บรายละเอียดในสถานการณ์ไว้ได้มากกว่าการที่มีการกำหนดเรื่องไว้แน่นอน และสามารถพัฒนาไปสู่การแยกประเภทและจัดหมวดหมู่ข้อมูล เพื่อกำหนดเค้าโครงของการสังเกตแบบมีเค้าโครงต่อไป
- จุดอ่อน คือ ผู้วิจัยเข้าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์โดยไม่มีการกำหนดเรื่องไว้แน่นอน หรือกำหนดปัญหาเฉพาะหน้าไว้ก่อน
การสังเกตแบบกำหนดเค้าโครงล่วงหน้า (Structured Observation หรือSystematic Observation)
- ผู้สังเกตกำหนดเรื่องไว้เฉพาะว่าจะสังเกตเรื่องอะไร จะไม่สังเกตเหตุการณ์อื่นใดที่นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้
- เป็นการสังเกตที่ควบคุมสถานการณ์ของการสังเกตได้
- วิธีการสังเกตแบบนี้จะมีการจัดแยกข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการจดบันทึก
เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการสังเกต
ระบบการจัดแยกประเภท (Category System) เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากที่สุดในการเปลี่ยนสถานการณ์สังคมในเชิงคุณภาพให้เป็นเชิงปริมาณ มีการลงรหัสพฤติกรรมที่จัดแยกประเภท ตามระบบความคิดและวัตถุประสงค์ของผู้วิจัย
ตัวอย่างการสังเกตโดยการแยกประเภทพฤติกรรม
1. การแสดงความเป็นมิตร
2. การแสดงอาการผ่อนคลาย
3. การเห็นด้วย
4. การให้ข้อเสนอแนะ
5. การให้ความเป็นธรรม
6. การให้แนวทาง
7. การร้องขอแนวทาง
8. การร้องขอวามเป็นธรรม
9. การร้องขอข้อเสนอแนะ
10. การไม่เห็นด้วย
11. การแสดงความตึงเครียด
12. การแสดงความเป็นศัตรูหรือความแตกแยก
การสังเกตตนเอง
- การสังเกตตนเองในพฤติกรรมภายนอก
- การสังเกตตนเองในพฤติกรรมภายใน
- ทราบหรือไม่ว่าขณะนี้ท่านมีความรู้สึกอย่างไร
- ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
- ในความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น มีความรู้สึกอื่นอีกหรือไม่ ที่เป็นส่วนประกอบย่อยอยู่ในความรู้สึกนั้น
- ความรู้สึกนั้นมักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นไร
- ความรู้สึกนี้ เป็นความรู้สึกจริงๆ ของเราหรือไม่ ฯลฯ
การสังเกตสิ่งแวดล้อม
- การสังเกตจากภายนอก
- สัญลักษณ์ รูปลักษณ์
- การสังเกตการแสดงออก
- กิริยา ท่าทาง ความสัมพันธ์
- การสังเกตการใช้ภาษา
- วิธีการพูด เวลาการพูด
- การสังเกตการใช้เวลา
- การใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในสังคม
หัวข้อการสังเกตพฤติกรรม
- กลุ่มเป้าหมายที่สังเกต คือ ใคร
- พฤติกรรมที่สังเกต คือ อะไร
- สาเหตุที่เลือกสังเกตพฤติกรรมนี้ เพราะอะไร
- ลักษณะพฤติกรรมที่สังเกตได้ เป็นอย่างไร
- ข้อคิดเห็นต่อการสังเกตในครั้งนี้ คือ อะไร (การสังเกตในครั้งนี้ เป็นการสังเกตที่จัดอยู่ในประเภทไหน มีข้อจำกัดอะไรบ้าง และได้ผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้ มากน้อยเพียงใด สามารถเอาไปใช้ประโยชน์อะไรต่อไปได้บ้าง)
การสังเกตสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ “การจดบันทึก”
อุปกรณ์ที่ใช้ในการจดบันทึก
• สมุดพกติดตัว ขนาดพกพาสะดวกสำหรับนำติดตัวไปในเวลาที่ออกดูนกนอกสถานที่ ควรเป็นปกแข็ง ไม่มีเส้นบนกระดาษ
• สมุดบันทึกถาวร ควรมีขนาดใหญ่กว่าสมุดพกติดตัว และใช้บันทึกข้อมูลได้ละเอียดและชัดเจนมากขึ้น สำหรับเก็บเป็นข้อมูลถาวร
• ดินสอ ปากกา และยางลบ
• ดินสอสีและสีน้ำ
การจดบันทึกที่ดี ควรจะมีลักษณะอย่างไร
- บันทึกความจริง แต่สิ่งที่บันทึกอาจคลาดเคลื่อนได้ หากเราไม่ระมัดระวังพอ ควรบันทึกสิ่งที่เห็นไม่ใช่ที่คิดว่าเห็น อะไรที่ไม่แน่ใจควรบอกว่าไม่แน่ใจ
- บันทึกทันที ณ สถานที่ที่พบเห็น จะช่วยให้บันทึกได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง อย่าเชื่อความจำตนเองเพราะมักจะตกหล่นไปเสมอ
- บันทึกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
วิธีการจดบันทึก : ตัวอย่างจากการดูนก
• ชื่อนกที่พบ ในกรณีที่ทราบแล้วว่าเป็นนกชนิดใด ขนาดของนก ซึ่งหากไม่รู้จักนกชนิดนั้นควรเปรียบเทียบ
• รูปร่างลักษณะ เช่น นกตัวนั้นมีรูปร่างลำตัวผอมยาว หรืออ้วนป้อม ปากสั้นหรือปากยาว โค้งแหลมหรือตรงยาว มีจุดสังเกตที่เด่นชัดอยู่ที่ส่วนใด
• พฤติกรรม ให้สังเกตถึงลักษณะท่าทางที่นกชอบกระทำบ่อย ๆ เช่น การเกาะ ว่าอยู่ในท่าตัวตั้งตรงหรือขนานกับกิ่งไม้ การบิน เป็นแนวเส้นตรงหรือบินขึ้น ๆ ลง ๆ ชอบกระดกหางหรือแพนหาง การทำรังว่ามีลักษณะอย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรและทำรังบริเวณใด
• เสียงร้องและเสียงร้องเพลง เมื่อต้องการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่นเสียงร้องตกใจ ร้องขู่ขวัญ ในการบันทึกให้บันทึกเสียงร้องปกติที่ได้ยินบ่อย ๆ หรือเสียงร้องซึ่งนกมักร้องเมื่อมีอารมณ์ดี ว่ามีลักษณะอย่างไร แหบ แหลม หรือเบานุ่ม แล้วบันทึกออกมาเป็นตัวอักษร มีนกบางชนิดที่เราไม่อาจจำแนกจากลักษณะภายนอกได้เลย ต้องอาศัยเสียงร้องที่มีความแตกต่างกันช่วย การจดจำเสียงร้องของนกอาจใช้เครื่องบันทึกเสียงช่วย
• แหล่งที่อยู่อาศัย เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับบริเวณที่พบนกว่ามีสภาพอย่างไร เป็นป่าแบบไหน มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง รวมทั้งระดับความสูงของพื้นที่ถ้าหากทราบ เช่น เป็นบริเวณป่าไผ่ริมน้ำตก หรือกลางทางเดินในป่าสน ควรบันทึกรายละเอียดของสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไปให้มากที่สุด
• เวลา วันเดือนปี และสถานที่ เพื่อให้ทราบว่า พบนกชนิดนั้นที่ไหน เมื่อใด ในช่วงเวลาใด เพราะจะทำให้ทราบว่านกชนิดนั้นพบยากหรือพบง่าย ทำให้ทราบว่านกชนิดนั้นเป็นนกประจำถิ่นหรือนกอพยพ รวมทั้งการบันทึกจำนวนนกที่พบในแต่ละครั้ง
• สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ทำให้การบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับนกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น นกบางชนิดชอบปรากฏตัวเมื่ออากาศมืดครึ้ม หรือเหยี่ยวชอบบินร่อนขึ้นสูงในวันที่แดดจ้า เป็นต้น
ในการบันทึกเราควรวาดภาพร่างคร่าว ๆ ของนกที่พบเพิ่มขึ้น เพื่อจะช่วยให้เราเก็บรายละเอียดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับนกชนิดนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น นำภาพร่างที่เราพบแต่บอกชื่อไม่ได้ไปถามผู้รู้ให้ช่วยจำแนกชนิดได้ในภายหลัง
การบันทึกความรู้สึก เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เราอาจถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ตื่นเต้น ดีใจ ประทับใจหรือเศร้าใจไปกับเราได้
สรุป การสังเกตสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติที่ดี
- สังเกตโดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อม
- สังเกตโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
- มีวิธีการจดบันทึกที่เป็นระบบ
- บันทึกความจริง
- บันทึกทันที
- บันทึกรายละเอียด เช่น ชื่อ รูปร่างลักษณะ พฤติกรรม เสียงร้อง แหล่งที่อยู่อาศัย สถานและวันเวลาที่พบ สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ