เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเก่า จึงขอใช้คำว่า ยี่ห้อ ไม่ใช้คำว่า แบรนด์เนม แต่ว่าคนหนุ่มคนสาวไม่ว่ารุ่นโน้นหรือรุ่นนี้ต่างก็ชอบกางเกงยีนส์พอๆกัน ผิดกันตรงที่สมัยก่อนมียีนส์ไม่ถึงสิบยี่ห้อซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นของอิมผอร์ตเสียด้วย ทำให้ราคาแพงมากๆเมื่อเทียบกับค่าเงินสมัยนี้
วันหนึ่ง ผมเห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งเอาใบมีดโกนเลาะแผ่นหนังสี่เหลี่ยมออกจากขอบเอวกางเกงยีนส์ตัวใหม่ จึงถามเขาว่า “เลาะออกทำไม เขาอุตส่าห์ทำให้สอดเข็มขัดลอดได้อยู่แล้วนี่”
“ไอ้นี่แหละที่ทำให้มันแพงขึ้นกว่าที่ควร” เขาบอก “เรื่องไรข้าจะโฆษณาให้มันควีๆ”
ผมตาสว่างทันที คนคิดนอกกรอบแบบนี้หายากไม่ว่าที่ไหนและสมัยใด ผู้ผลิตเสียค่าจ้างพรีเซนเตอร์รายเดียวหนเดียว แล้วอาศัยผู้ซื้อไปใช้ช่วยโฆษณาให้ฟรีๆ ทุกวันด้วยการอำนวยความสะดวกเล็กๆน้อยๆให้ ซึ่งได้ผลดีเกินคาดหลายร้อยเท่า เพราะบางคนนุ่งเสื้อปล่อยชายแท้ๆ ยังอุตส่าห์รั้งชายเสื้อตรงที่คลุมป้ายสี่เหลี่ยมแผ่นนั้นขึ้นไปยัดลงในขอบกางเกงให้ด้วยแน่ะ
หลังจากนั้นอีกหลายปี อาจารย์เก่าที่เคยสอนผมตอนผมอายุ 11-12 ปี เล่าให้ฟังว่า ระหว่างเดินทางกลับจากญี่ปุ่นมาแวะที่ฮ่องกง ได้แวะห้างใหญ่โตเพื่อหาซื้อเชิ้ตดีๆมาให้สามี เมื่อเลือกได้สองสามตัวที่ถูกใจก็พลิกดูด้านในของปกเพื่อดูยี่ห้อ ปรากฏว่าว่างเปล่า ท่านจึงถามคนขายโดยระบุยี่ห้อดังๆของฝรั่งสองสามชื่อ
“มีครับ” คนขายตอบ “เรามีทุกยี่ห้อครับ”
อาจารย์ผมนึกว่าเขาจะไปเอาเสื้อตัวอื่นมาให้ดู ที่ไหนได้ เขาเปิดลิ้นชัก ดึงแถบผ้าแคบๆยาวๆสีต่างๆไม่ต่ำกว่าสิบเส้นออกมาวางบนเคาน์เตอร์พลางพูดว่า “เชิญเลือกเลยครับ เดี๋ยวผมตัดไปให้ช่างเย็บติดให้ฟรีๆครับ”
อาจารย์ผมสรุปให้ฟังว่า ท่านรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันทีและเข้าใจ ณ บัดเดี๋ยวนั้นว่า ทำไมคนที่นั่นถึงเรียกคนไทยว่า ตือเซียม (หมูสยาม) และวันนั้น ท่านไม่เลือกยี่ห้อใดๆเลย
นั่นเป็นเรื่องเก่าๆ ของคนรุ่นเก่าที่เป็นโรค เห่อยี่ห้อ คนรุ่นใหม่ของสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่า ยี่ห้อ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เป็นโรคเดียวกันกับคนรุ่นก่อน เขาเป็นโรคที่ทันสมัยกว่าเยอะ เช่น โรคติดแบรนด์เนม ติดเกม ติดแช็ต ฯลฯ
ไม่มีความเห็น