1) พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ) มีข้อเสนอแนะสั้น ๆ แต่เพียงว่า ให้เข้าใจเรื่องอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา โดยให้เน้นที่ปฏิบัติบูชาเป็นสำคัญ ถ้าเรามาสู่หลักนี้ พระพุทธรูปก็นำไปสู่การบูชาเพื่อการบรรลุธรรมในขั้นสูงต่อไป[1]
นอกจากนี้ มีบางตอนของการสัมภาษณ์ที่ท่านได้เสนอแนะอย่างชัดเจนว่า ไม่ควรบูชาในลักษณะอ้อนวอน รอผลดลบันดาล แต่ให้ปฏิบัติเอง ทำเอง ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นต้น
2) พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย ได้เสนอแนะว่า จะต้องมองพระพุทธรูปในแง่ของสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แต่ในแง่ของสัญลักษณ์นี้ จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมด้วย ซึ่งเราจะพบว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญให้สร้างพระพุทธรูป ไม่ใช่ความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเลย แต่ท่านให้เน้นที่ธรรมะ ส่วนในแง่ของวัฒนธรรม เมื่อเป็นนามธรรมมากเกินไป ในการที่จะชักจูงคนก็เป็นเรื่องยาก การมีพระพุทธรูปจึงเป็นการสร้างรูปธรรมที่เป็นกุศโลบายให้เกิดจุดศูนย์รวมขึ้นมา จากนั้นจึงก่อให้เกิดการสร้างพระพุทธรูปกันตาม ๆ กันมา ในการบูชาจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย [2]
3) ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติอยู่ประจำ คือ ปกติของท่าน 7 วัน 10 วัน ท่านก็จะซื้อดอกไม้มาจัดแจกันเอง เพื่อบูชาพระพุทธรูป เวลาที่เราบูชาพระ เราเห็นดอกไม้สดชื่นก็ทำให้จิตใจเราสดชื่นไปด้วย ถ้าเราจัดดอกไม้เองก็จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจหรือเกิดปีติ สมัยก่อนท่านจะซื้อดอกไม้ไปให้ภรรยาจัด แล้วก็สังเกตว่าเขาจัดอย่างไรถึงดูสวยดูงาม แล้วจึงจัดเอง และท่านเสนอแนะเพิ่มเติมอีกว่า ทุกอย่างมีปรัชญาอยู่ในตัว แม้แต่การกินน้ำชาของคนจีน ก็มีปรัชญาแฝงอยู่ ถ้วยน้ำชาก็เล็ก ๆ น้ำชาก็ร้อน ๆ เขากินน้ำชาเป็นปรัชญา คือ กินธาตุทั้ง 4 ถ้วยชา เป็นธาตุดิน น้ำชา เป็นธาตุน้ำ น้ำร้อน เป็นธาตุไฟ เวลาดื่มเข้าไปก็ต้องเป่า เป็นธาตุลม ใส่ธาตุลมเข้าไป คนจีนเข้ากินมีหลักปรัชญาในลักษณะนี้ [3]
จากทัศนะนี้ ทำให้เห็นว่า ท่านพยายามเสนอแนะว่า การบูชาพระพุทธรูปก็ต้องเขาถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าบูชากันเท่านั้น และต้องทำควบคู่ไปทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ถือปฏิบัติอย่างสมัยพุทธกาล ก็มีการถือดอกไม้ธูปเทียนไปในวัดด้วย เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอน ก็น้อมนำเอาธรรมะมาปฏิบัติ นี้เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ซึ่งต้องทำควบคู่กันไป
4) ศาสตราจารย์พิเศษอดิศักดิ์ ทองบุญ ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองยิ้ม ประชาชนมีใจดี ใจโอบอ้อมอารี ก็เพราะอิทธิพลของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น การปฏิบัติต่อพระพุทธรูป การบูชาพระพุทธรูป ถือเป็นภาคปฏิบัติที่สามารถทำให้เกิดคุณลักษณะที่ดีงามเช่นนั้นได้ การบูชาพระพุทธรูปเป็นการเสริมสร้างการพัฒนาจิตให้สูงขึ้น จนมีจิตใจที่ดี [4]
5) รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา ได้ตั้งข้อสังเกตว่า บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง เช่น คานธี หรือกวีชาวมุสลิมหลาย ๆ ท่าน ในตอนที่เป็นเด็กก็มีความผูกพันกับศาสนา มีคัมภีร์อยู่ในบ้าน ได้ใกล้ชิด จึงเป็นการบ่มเพาะแนวคิดทางศาสนาในตัวเด็ก ชาวพุทธจึงควรมีการระดมความคิดให้มีการส่งเสริมให้มีพระพุทธรูปในบ้าน เพื่อลูกหลาน จะได้ซึมซับสิ่งดีงามต่าง ๆ หรือได้บูชาด้วย แต่ควรทำความเข้าใจว่าสิ่งทีควรเป็นอย่างไร อะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร เช่น การค้าการขายพระพุทธรูปอย่างเช่นที่ท่าพระจันทร์ ที่วางขายกันริมทางเท้า ซึ่งทำให้คนมีความรู้สึกต่อพระพุทธรูปในแง่ที่ไม่ควรนัก เราควรปฏิบัติต่อพระพุทธรูปในแง่ที่ให้ความสำคัญ ไม่ควรนำมาวางขายกัน ที่จริงทางคณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคม ควรมีการสร้างพระพุทธรูปในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เพื่อแจกจ่าย ให้ครอบครัวชาวพุทธนำไปไว้ที่บ้านเพื่อสักการะบูชา ซึ่งนอกจากพระพุทธรูปที่คณะสงฆ์ทำ จะต้องไม่มีที่ไหนมาทำขายกัน นี่จะทำให้พระพุทธรูปเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง[5]
จากทัศนะของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดนี้ อาจสรุปได้ว่า พระพุทธรูปเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในหลายแง่มุมด้วยกัน เช่น
(1) เป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า เป็นรูปธรรมที่ทำให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ง่าย
(2) เป็นศิลปะที่ให้คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์
(3) เป็นวัตถุที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมทางศาสนา ก่อให้เกิดศูนย์รวมทางจิตใจ
(4) เป็นสิ่งที่สื่อถึงคุณธรรม ในการพัฒนาตนเองของผู้บูชา โดยการน้อมนำเอาพุทธคุณมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ
ส่วนการบูชาพระพุทธรูปนั้น จากทัศนะทั้งหมด อาจประมวลได้ว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลในตอนต้นที่จำแนกการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาออกเป็น 2 แนว ได้แก่ แนวจารีตและแนวประชานิยม การบูชาพระพุทธรูป ตามทัศนะของผู้ทรงคุณวุฒิท่านก็มองในกรอบของ 2 ลักษณะนี้เช่นกัน
ในขณะที่เรื่องเกณฑ์ตัดสินและคุณค่าแท้ คุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูปนั้น แต่ละท่านได้แสดงทัศนะไว้หลากหลาย ซึ่งโดยภาพรวม คือ มองว่า การบูชาพระพุทธรูปในลักษณะสร้างเสริมปัญญา พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในตน ยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้นนั้นเป็นคุณค่าแท้ ส่วนการบูชาในลักษณะที่หวังผล ต้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรม กฏแห่งกรรม ไม่ได้ปฏิบัติเอง หรืองมงาย รวมถึงการบูชาในเชิงพุทธพาณิชย์นั้น เป็นคุณค่าเทียม เกณฑ์ตัดสินเรื่องนี้ก็มีมากมาย เช่น หลักโอวาท 3 หลักกาลามสูตร หลักกุศลและอกุศล หรือหลักการเกี่ยวกับปัญญา เป็นต้น ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบูชาพระพุทธรูป แต่โดยภาพรวมก็คือ ยึดธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ เน้นการปฏิบัติบูชาเป็นเรื่องสำคัญ และปฏิบัติในลักษณะทางสายกลาง ไม่สุดโต่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
จากข้อมูลดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจะได้นำไปประกอบในการวิเคราะห์คุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูปในบทต่อไป
[1] สัมภาษณ์ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์จิตฺตโสภโณ), รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 11 กุมภาพันธ์ 2551.
[2] สัมภาษณ์ พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัย, 5 กุมภาพันธ์ 2551.
[3] สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 14 กุมภาพันธ์ 2551.
[4]สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษ อดิศักดิ์ ทองบุญ, ราชบัณฑิต ราชบัณฑิตยสถาน, 9 กุมภาพันธ์ 2551.
[5]สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา, อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 6 กุมภาพันธ์ 2551.
ไม่มีความเห็น