ได้มีโอกาสฟังธรรมของพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามท่าน) เนื่องในการบรรยายธรรม ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดขึ้นเนื่องในวันมหิดล แม้วันนั้นผู้ฟังจะไม่มากแต่เนื้อหาสาระในวันนั้นได้ข้อคิดหลากหลายทีเดียว
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สะเทือนในหัวใจเล็ก ๆ ซึ่งแต่เดิมก็ไม่เคยได้นึกถึง
พระคุณเจ้าท่านเล่าว่า เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะยึดถือตามพระวินัยสงฆ์โดยเคร่งครัด คือการบิณฑบาตจะเดิมสำรวม ไม่ร้องขอ ไม่ยืนรอ เมื่อรับของบิณฑบาตแล้วท่านก็จะเดินต่อไป เมื่อเต็มแล้วก็จะกลับวัด
มีวันหนึ่งหลังจากท่านรับของจากโยมคนหนึ่ง เมื่อรับแล้วท่านก็ปิดฝาบาตร โยมคนนั้นก็รีบนั่งลงพนมมือ เข้าใจว่าจะนั่งรอรับพร (เหมือนปกติที่สมัยนี้ ต้องมี) ท่านก็เหลือบมองดูแล้วท่านก็เดินต่อไปโดยไม่ได้ให้พรแต่ประการใด และท่านก็ทำอย่างนั้นกับทุกคนที่ใส่บาตร ท่าน
วันต่อมาท่านก็ไปบิณฑบาต ในเส้นทางเดิมอีก ท่านก็พบกับโยมที่เมื่อวาน มารอตักบาตร แต่พอโยมท่านนั้นเห็นท่าน ก็ปล่อยให้ท่านเดินผ่านไป และเลือกใส่บาตรให้พระองค์อื่นๆ ที่ให้พรหลังจากรับบิณฑบาตแล้ว
เมื่อได้ฟังท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า แม้ว่าการถวายภัตราหารหรือใส่บาตรจะขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ถวาย แต่หากคิดในอีกแง่หนึ่งว่า ทุกวันนี้หากญาติโยมเจตนาใส่บาตรเพื่อให้ได้พรจากพระเป็นการแลกเปลี่ยนแล้ว น่าจะผิดวัตถุประสงค์ของการทำบุญใส่บาตรที่แท้จริง
บิณฑบาต ถือเป็นวัตรปฏิบัติหรือเป็นสัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพโดยชอบของพระพุทธเจ้าและพระภิกษุ พุทธสาวกเลยทีเดียว
ดังพุทธพจน์ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
“มหาราช ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้สันโดษ (ยินดีตามที่มีอยู่) ด้วยจีวร เป็นเครื่องบริหารกาย สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ภิกษุ นั้น จะหลีกไปโดยทิศทางใด ย่อมถือเอาบาตรและจีวรนั้นหลีกไปได้ โดยทิศนั้น ๆ”
นอกจากนี้พระพุทธองค์ทรงยกย่อง ภิกษุผู้มีสัมมาอาชีวะ ว่าเป็นผู้สถิติอยู่ในอริยะวงศ์ ทีเดียว ดังพุทธพจน์ ว่า
“ภิกษุ เป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนา(การแสวงหาไม่สมควร) เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ไม่ได้บิณฑบาต ก็ไม่ทุรนทุราย ได้บิณฑบาตแล้วก็ไม่ยินดีเมาหมกพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษของสังสารวัฏฏ์ มีปัญญาในอุบายที่จะถอนตัวออกอยู่เสมอ บริโภคบิณฑบาตนั้น อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ในความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ เราเรียกภิกษุผู้นี้ว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาแต่เก่าก่อน”
การออกบิณฑบาต นอกจากจะเป็นสัมมาอาชีวะของพระภิกษุแล้ว ยังเกื้อกูลให้เหล่าฆราวาสได้บำเพ็ญทาน คือการรู้จักให้และแบ่งปัน เพื่อลดความตระหนี่ รู้จักเสียและสละ อันเป็นการบรรเทากิเลศคือความโลภภายในจิตใจ และที่สำคัญในสมัยพุทธกาลยังได้มีโอกาสโปรดสัตว์ด้วยธรรม ให้เหล่าปุถุชนได้ดวงตาเห็นธรรมอีกด้วย
เอาหละ แม้ว่า ธรรมเนียมปัจจุบัน อาจมีการปรับเปลี่ยนจากการที่ให้ธรรม มาเป็นการให้พรของพระภิกษุ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเริ่มแพร่หลายมาแต่เมื่อใด ซึ่งอาจเนื่องจากความไม่เหมาะสมของกาลเวลาและสถานที่สำหรับการฟังธรรม หรือเป็นเพราะอาจไม่มีเวลาทั้งของพระและของฆราวาสเอง
แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ควรที่จะให้เกิดธรรมเนียมใหม่ตามมาอีกคือ การเลือกใส่บาตรเฉพาะพระภิกษุที่ให้พรเท่านั้น อันจะเป็นเหตุให้อลัชชีทั้งหลายที่ปลอมปนเข้ามาในพระศาสนา เข้ามาใช้การบิณฑบาตเป็นแหล่งทำมาหากิน และเสกสรร คำให้พรอันวิจิตรเกินพรรณา เช่นกรณีการเวียนเทียนรับอาหารส่งให้แม่ค้า (ไม่อยากใช้คำว่าบิณฑบาต) ดังปรากฏเป็นข่าวครึกโครมเมื่อไม่นานมานีี
เราจะทำอย่างไรให้คนไทยที่หลงผิดไป ได้กลับมาเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ในฐานะผู้ให้ ว่าเราต้องการใส่บาตรเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา ได้บำเพ็ญทาน เพื่อลดละกิเลศ ผลบุญที่ได้ก็ได้ตั้งแต่มีเจตนาจะตักบาตรแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอรับพรก่อนถึงจะได้บุญ
“อย่าให้ ต้องถึงกับ หมูไป…ไก่มา.. กันเลยครับสาธุชนทั้งหลาย ”
ไม่มีความเห็น