HR ปากกาทอง ตอน 2 "ผลงานที่มนุษย์ทำลาย ความมหัศจรรย์ของมนุษย์" บทเรียนที่น่าศึกษา


มนุษย์ มีความเจริญที่ผิดแผกต่างจากสรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกใบนี้ ความไม่รักษาสมดุลย์แห่งธรรมชาติเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ เราต้องช่วยกันใช้ทรัพยากรอย่างเห็นคุณค่า และใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ธำรงรักษาทรัพยากรที่มีค่าที่สำคัญของสังคม ให้อยู่กับมนุษย์ให้ยาวนานที่สุด จงช่วยกันดูแลรักษาทรัพย์สินของสังคมโลกร่วมกัน เพื่ออนุชนคนรุ่นหลังจะได้มีโอกาสใช้อย่างคุ้มค่าและยาวนานต่อไป

 
ผลงานที่มนุษ์ทำลาย ความมหัศจรรย์ของมนุษย์

 
ภาพและการบรรยายโดย Rain06 Siam9
สำหรับผม แล้ว..

(ข้อมูลจากสมาคมธุรกิจคริสเตียนไทย)

บางท่านอาจแปลกใจที่ทำไมธรรมชาติจึงได้โหดร้ายรุนแรงขึ้นทุกวัน..

แต่

ไม่แปลกใจเลยสักนิดทำไมน่ะ หรือ..เพราะเห็นตำตาอยู่ทุกวี่วันแถม

ขยายวงกว้างออก ไปอย่างรวดเร็ว..

..ภาพแรกผืนพรมสีเขียว..ป่าอันอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำสาละวิน..

ที่มันยังคงเขียวอยู่ได้เพราะ



..เมื่อมีความเจริญ..มีการพัฒนา


อยู่ห่างไกลผู้คน..แถมดินแดนแถบนี้ยังมีการรบของชนกลุ่มน้อยอยู่ตลอด

เวลา..มีแต่ทหาร เท่านั้นถึงจะกล้ามายังดินแดนแถบนี้

(ในภาษาของธรรมชาติการพัฒนาของมนุษย์คือ..

การทำลายล้างธรรมชาติ)

 มีถนนลากยาว ไปถึงไหนก็บรรลัยวายวอดที่นั่น.

.ป่าเริ่มถูกเปิด บริสุทธิ์..จุดเริ่มต้นของหายนะ..

 

..ท่านอาจไม่เชื่อว่าความมหัศจรรย์ของมนุษย์มีพรสวรรค์ในทางทำลายล้างอย่างหาสัตว์พันธุ์
ไหนมาทาบรัศมีได้ยาก..ภูเขา...ซึ่งมีอายุยืนยาว มานับร้อยนับพันปี.. แต่มนุษย์เพียงคนเดียว
สามารถถากถางป่าจนโล่งเตียนได้ภายในเวลาไม่กี่วัน..


 

..ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นจุดสีขาว ๆ เล็ก ๆ อยู่ 2-3 จุดด้านล่างขวามือ..

นั่นเป็นกระท่อมหลัง
น้อยที่ผู้บุกรุกอาศัยอยู่..คน ไม่น่า จะเกิน 5 คนแต่สามารถทำลายป่าจนภูเขาหมดเป็นลูก ๆ
..น่าชื่นชมซะไม่มี..

 

..เมื่อมีผู้ว่าราชการมารับตำแหน่งใหม่ ๆ ..ท่านได้ขอ ฮ.ทบ. เพื่อบินสำรวจอาณาเขตป่า
ที่ท่านต้องรับผิดชอบ..ก่อนขึ้น เครื่องท่านได้พูดถึงนโยบายที่วาดไว้สวยหรูเรื่องการอนุรักษ์
ป่าจนท่านบอกว่ากับพวกผมว่า "ถ้าระหว่างบินไปทำงานแล้วพบเจอว่ามีการตัดไม้ทำลายป่า
ให้แจ้งท่านเป็นการส่วนตัวได้ตลอดเวลา"


..ยิ่งบินลึกเข้าไปในป่า..เสียงของท่านผู้ว่า ฯ ก็เบาลงเรื่อย ๆ บางช่วงก็ถึงกับเงียบจนผมต้อง
หันไปมองดูว่าท่านยังสบายดี อยู่หรือเปล่า.. ผมกลัวว่าท่านจะช็อกกับภาพที่เห็นกระจะตาอยู่
เบื้องล่าง..และเป็นการได้เห็นด้วยตาของตนเองต่าง จากรายงานบนแผ่นกระดาษอย่างสิ้นเชิง..

 

..ภูเขาหมดเป็นลูก ๆ แบบนี้บ้านผมเรียกว่า "วายวอด" ไม่ใช่การบุกรุกป่า.. แต่เป็นการทำ
ลายล้างป่าต้นน้ำของประเทศไทยให้สูญพันธ์ไปอย่างรวดเร็วที่สุด..ท่านผู้ว่าฯ ของผมไม่ได้
ถึงกับเงียบจนเกินไปนัก..เพราะบางช่วงแม้เสียงใบพัด ฮ.จะดังสนั่นหวั่นไหว.. หูผมอาจฝาด
ไปก็ได้..เพราะผมคิดว่าผมได้ยินเสียงท่านผู้ว่า ฯ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่..ผมเองก็ไม่
แน่ใจว่าอุดมการณ์อันแรงกล้าของท่านที่จะยืนหยัดรักษาป่าต้นน้ำไว้ให้ลูกหลานคนไทย..จะ
ยังคงเหนียวแน่นมั่นคงอยู่หรือเปล่า..ในยามที่ได้มาเห็นความจริงต่อหน้าต่อตาแบบนี้..

 

..ไม้มีค่าจำพวก "ต้นสักทอง" จะถูกตัดโค่นและขนลำเลียงออกมาก่อน..ส่วนที่เหลือก็ไม่มี
ความหมายอันใด..จัดการฌาปนกิจป่าทั้งป่าให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ.. ยามเมื่อคนตัดไม้เหน็ด
เหนื่อยยังมีเวลาได้พัก..ตกกลางคืนก็มีเวลาได้นอนหลับพักผ่อนมี เวลาให้ป่าได้พักจากการถูก
ทำลาย..แต่การทำลายป่าด้วยวิธีการเผา..ไฟป่าจะโหมไหม้ตลอด 24 ชม. ไม่มีเวลาได้หยุดพัก..
ไฟจะลามต่อเนื่องกินพื้นที่นับร้อยนับพันไร่เพียงข้ามคืน..ท่านลองดูด้วยตาจะเห็นว่าควันไฟ
จากการเผาทำลายป่ามันสามารถทำให้ป่าทั้งป่ามืดคลึ้ม..ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้ากลับกลายเป็นสี
เทา..ผมไม่ได้หมายถึงป่าจำนวน 10 หรือ 100 ไร่..แต่ มันหมายถึงป่าที่ผมมองไปจนสุดสายตา
แต่ไม่เห็นอะไรเลย..นอกจากควันไฟ..

 


..แล้วเมืองก็ผุดขึ้นกลางป่า..กลางหุบเขา..รีสอรท์เอย..โรงแรมเอย..ไหนจะสนามกอล์ฟ..
ไร่ส้ม..พืชผักปลอดสารพิษของชนกลุ่มน้อย..ภาพ นี้ถ่ายจากอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่..

 

..รีสอร์ทกลางหุบเขาของใครเอ่ยยย..
..ขอเชิญท่านมาเป็นแขกของเรา.. บรรยากาศท่ามกลางขุนเขา..อากาศบริสุทธิ์..และถ้า
ท่านใดเคยเป็นลูกค้ารีสอร์ท ประเภทนี้..ขอยินดีกับท่านด้วยที่ท่านเป็นหนึ่งในผู้เห็นดีเห็น
งามกับการทำลายป่า.. เงินของท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนในการทำลายป่าขยาย
กิจการของรีสอร์ทออกไปให้เจริญรุดหน้า..

..ยามที่ท่านตื่นขึ้นยามเช้า..เดินไปออกไปชื่นชมธรรมชาติ ที่ระเบียงห้องพักของรีสอร์ท..
พร้อมกับสูดลมหายใจอัน แสนบริสุทธิ์ของป่าเข้าไปเต็มปอด..และรำพึงรำพันออกมาด้วย
ความสุข..ขอให้ท่านรับรู้ว่า..ป่ากำลังร้องไห้..ความสุขของท่านยืนอยู่บนซากของต้นไม้
นับร้อยนับพัน..

 

..ลองนึกภาพดูว่าในร่องเขาแบบนี้..ถ้าฝนตกลงมา..กระแสน้ำจากบนภูเขาจะไหลไปทาง
ไหน..เป้าหมายของมันก็คือหมู่บ้านเชิงเขา.. และเราก็จะได้เห็นภาพของการสูญเสียทั้งชีวิต
และทรัพย์สิน..ได้อ่านข่าวทั้งจากหนังสือพิมพ์และนั่งดูข่าว ผ่านทีวีทุกช่องด้วยความตกอก
ตกใจว่า..มันเป็นไปได้อย่างไร..ทำไมธรรมชาติช่างโหดร้ายกับมนุษย์ผู้ใสซื่อตัวเล็ก ๆเช่นนี้..

..คนตายก็ตายไป.. พวกที่อยู่ก็ยังคงถากถางทำลายป่าแลกเงินกันต่อไปหามีจิตสำนึกไม่..
บทเรียนกี่ครั้งที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้เราฉลาดขึ้นเลยสักนิด.. ธรรมชาติปรับตัวเป็นเรื่องปกติ..
แต่มนุษย์เองมิใช่หรือที่นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ ๆ ไม่ควร อยู่.. เหมือนไปนอนอยู่กลางถนน
ท่ามกลางอันตรายจากรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมา..ยามเมื่อมีการตายการสูญเสียเราจะโทษ ป่า..
โทษภัยธรรมชาติว่าโหดร้ายได้อย่างไร..

..สองมือยังถากถางทำลายป่ากันไม่หยุด..แต่ปากก็ร้องถามว่า..ทำไมธรรมชาติจึงโหดร้ายนัก..
มันช่างไม่ยุติธรรมกับมนุษย์ ตัวเล็ก ๆ เลย..ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่..ธรรมชาติมายุ่งกับมนุษย์
ทำไม....เฮ้อออออ...มนุษย์หนอมนุษย์..!!!






..เมื่อฝนเริ่มตก..ด้วยความลาดชันของภูเขา..ดินที่ปราศจากการยึดด้วยรากของต้นไม้..
เมื่อปริมาณน้ำยิ่งมากขึ้น.. ดินก็ยิ่ง มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นทุกทีจากการอมน้ำไว้ด้วยปริมาณมาก
แล้วมันก็จะพังทลายลงมา.. ไหลลงไปรวมกันในร่องเขา..พัด กวาดท่อนซุงที่มนุษย์ทิ้งไว้
บนเขาลงมาด้วย..ยิ่งภูเขาสูงชันเท่าไร..กระแสน้ำที่ไหลลงมาจะมีความเร็วและรุนแรงบ้าคลั่ง..
พัดกวาดต้นไม้ชนิดถอนรากถอนโคน..จุดหมายของพวกมันคือ..หมู่บ้านและเมืองเบื้องล่าง..


 


..หมู่บ้านในหุบเขา..ตามเชิงเขาจะโดนถล่มก่อนเป็นการปลดปล่อยพลังครั้งแรกของมัน..
ในภาพไม่ใช่กองไม้จิ้มฟัน.. แต่ เป็นซุงขนาดต่าง ๆ ไหลลงมาจากภูเขาเข้าถล่มหมู่บ้าน..
ขอย้ำว่า..มันคือท่อนซุงครับท่าน..

 


มองไปทางไหนไม่เห็นอะไรเลย..นอกจากท่อนซุงและทะเลโคลน..

 


บริเวณนี้เคยเป็นนาข้าวลุ่มแม่น้ำที่เขียวขจี..แต่ตอนนี้มีแต่โคลนหนาเป็นฟุต..

 

..ลงมาดูที่พื้นด้านล่าง..คราวนี้เชื่อหรือยังล่ะครับว่าที่มองเห็นทางอากาศเหมือนไม้จิ้มฟัน
มันเป็นท่อนซุงจริง ๆ ..

 

..กองนี้แยกไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร..

 

..โรงเรียน เหลือเพียงเสาโด่เด่..มันเคยเป็นอาคารเรียนมาก่อน..จะมองเห็นซากของเสาธง
ที่เด็ก ๆ ใช้เคารพธงชาติยามเช้าด้าน ซ้ายมือ..

 

นายทุนรวยเอา ๆ นอนสบายอยู่ในเมืองครับ.. ส่วนชาวบ้านเป็นเหยื่อรับจ้างตัดไม้ก็ถูกจับ
เวลาเกิดภัยจาก ธรรมชาติตัวชาวบ้านเองก็เป็นผู้รับเคราะห์.. น่าสงสารที่สุดคือชาวบ้าน
ตาดำ ๆ ทำไปด้วยความไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะรุนแรง ขนาดไหน..เงินและทรัพย์สมบัติที่สร้าง
สมมาจากการรับจ้างตัดไม้..ยามธรรมชาติมาทวงคืนต้องคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย คือชีวิต
ของตัวเองหรือไม่ก็เป็นคนในครอบครัวที่ตัวเองรัก..

 

..ป่าปิดไปนานแล้วครับ แต่ประตูหลังไม่ได้ปิดแถมยังเปิดกว้างกว่าประตูหน้าซะอีก..นับ
จากวันที่ประกาศปิดป่า ต้นไม้ยังคงถูกลำเลียงออกจากป่าไม่มีวันหยุด.. อนปิดป่า ๆ จะถูกตัด
ทำลายอย่างถูกกฏหมายจากเจ้าของสัมปทานเพียงกลุ่มเดียวซึ่งเขาจะคอยสอดส่องไม่ให้ชาว
บ้านเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แข่งกับพวกเขา..แต่พอปิดป่ายกเลิกทุก สัมปทานป่าก็กลาย
เป็นของสาธารณะพวกนายทุนเจ้าของสัมปทานเดิมก็แอบเข้าไปตัด.. ชาวบ้านก็ร่วมสังฆกรรม
ดัวย..ต่างคนต่างทำงานของตัวเองอย่างแข็งขัน..ไม่มีใครว่าใคร..มือใครยาวสาวได้สาวเอา..
สุดท้ายก็..เละ

..คนสมัยก่อนพึ่งพาอาศัยป่าด้วยความเคารพในฐานะที่ป่าคือชีวิต..คือแหล่งอาหาร..คือแหล่ง
ของสมุนไพรรักษาโรค..คือที่ อยู่อาศัย..ทุกคนอยู่กันอย่างพอเพียงล่าสัตว์ได้ 1 ตัวก็กลับบ้าน
กินหมดแล้วค่อยไปออกล่าหาเอาใหม่..ตัดไม้พอปลูกบ้าน อาศัยก็เพียงพอแล้ว..ป่าก็สงบเรียบ
ร้อย..

..แต่ปัจจุบันทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง..ทุกคนต่างแข่งขันกันสร้างฐานะไม่รู้จักพอ..เพื่อสะสม
เงินทองให้ได้มากที่สุด..สุด ท้ายทุกคนต้องมาร่วมกันชดใช้..เราต้องมาเผชิญกรรมร่วมกัน..





..ไม่ว่าจะอยู่ในป่าหรือในเมือง..ความเดือดร้อนจากผลของการกระทำของคนเพียงหยิบมือ
ได้ส่งผลมาถึงคนที่อยู่ในเมือง..นับพัน..นับหมื่น..นับแสน..และนับล้าน....นั่นสะพานขาด..!!!






..ถนนพัง..!!!





..ภาพชุดต่อไปเห้นชัดอย่างไม่น่าเชื่อ..แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าถ่ายภาพชุดนี้มาได้
อย่างไร.. รีสอร์ทริมธารน้ำแสนสวย..เร่งปลูกสร้างเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวที่
จะมาถึง.. ..Before..!!!





..ลำดับต่อมา ..!!!





..และต่อมา..!!!





..และต่อต่อต่อมา ๆๆๆๆๆ ..!!!

 

..จะมีสักวันไหมหนอ..!!!
..วันที่มนุษย์ได้คิด..ว่าเราเป็นเพียงเถ้าธุลีเมื่อเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่..เรากล้าประกาศ
ก้องว่าเราสามารถเอาชนะธรรมชาติได้.....แต่เพียงธรรมชาติขยับตัวเพียงเบา ๆ พวกเราก็ตาย
เกลื่อนวิ่งหางจุกก้น

..เราจะรู้กันหรือเปล่า..ว่าคนโบราณไม่เคยคิดจะเอาชนะธรรมชาติ..คิดเพียงว่าจะอยู่ร่วมกับ
ธรรมชาติได้อย่างไรให้เป็นสุข..บรรพบุรุษของเรามีพิธีสักการะแม่โพสพ..พิธีขอขมาต่อสาย
น้ำ และเรียกสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตว่าแม่พระคงคา..เรียกผืนแผ่นดินว่าแม่พระธรณี..พวกเขา
เคารพนบนอบต่อธรรมชาติ..และธรรมชาติก็หล่อเลี้ยงพวกเขาเป็นการตอบแทน..ถ้อยทีถ้อย
อาศัยกันอย่างสงบสุข

..แต่ในวันนี้เราเนรคุณต่อธรรมชาติผู้มีพระคุณ..เราเหิมเกริมมองธรรมชาติเป็นบ่อเงินบ่อทอง
เพียงเพื่อตักตวงผลประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัว..ไม่มีการเคารพยำเกรงเหมือนบรรพบุรุษของเรา
เคยได้กระทำ

..เมื่อลูกมันไม่รักดี..หยิ่งผยอง..ก็สมควรแล้วที่จะถูกท่านตบหน้าสั่งสอนฉาดใหญ่เพื่อให้ลูก ๆ
ได้สติ..แต่ลูกมันดื้อด้านไม่เคยจดจำ..บทเรียนที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง..คราบน้ำตาที่ไหล
อาบไปทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าจากการสูญเสียไม่เคยสร้างบทเรียนใหม่ ๆ ให้พวกเราได้รู้
สำนึก.. แต่พวกเรายังคงเดินย่ำอยู่บนหนทางเส้นเดิม..หนทางไปสู่หายนะที่ยิ่งใหญ่และรุน
แรงกว่า..

 


..ธรรมชาติทั่วโลกพร้อมใจกันเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นทุกที.. แต่เราก็ยังไม่เคย
ได้คิด..ยังคงมุ่งมั่นล้างผลาญทำลายธรรมชาติกันต่อไปด้วยอัตราการล้างผลาญที่มั่นคงสม่ำ
เสมอ..เราคงต้องโดนตบหน้ากันทุกปีและถูกตบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ .. เตรียมตัวเตรียมใจกันให้ดี..
เราเตือนท่าน (เป็นครั้งที่ล้านเจ็ด) แล้วววว..!!!!


 







 

 

 


































 

หมายเลขบันทึก: 399273เขียนเมื่อ 28 กันยายน 2010 22:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 15:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท