มาเข้าใจ: มุสลิมสุดโต่ง การยึดมั่นในหลักการอิสลาม และอิสลามานุวัตร |
เขียนโดย อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ | |
วันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ | |
“ตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายนที่สหรัฐ อเมริกาถึงเหตุการณ์ประท้วงการ์ตูนล้อเลียนศาสดาผู้เขียนมีทัศนะว่าโลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "สงครามวัฒนธรรม"...”
อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ)[email protected] ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสดามุฮัมมัด ผู้ เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีทุกท่าน ตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายนที่สหรัฐ อเมริกาถึงเหตุการณ์ประท้วงการ์ตูนล้อเลียนศาสดาผู้เขียนมีทัศนะว่าโลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "สงครามวัฒนธรรม" (Culture Wars) หรือ"ความขัดแย้งระหว่างระหว่างอารยธรรม" (The Clash of Civilizations) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ 2 แบบที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ความขัดแย้งระหว่างโลกทัศน์ที่แตกต่างทั้งสองนี้ กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมโลกทั้งมวล รวมทั้งประเทศไทย "การปะทะระหว่างอารยธรรม" ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยอคติ และความคลางแคลงใจระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ ฮันติงตันเชื่อว่าความแตกแยกระดับมหาภาคระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่มาของความขัดแย้งต่างๆ จะมาจากด้านวัฒนธรรม การปะทะกันระหว่างอารยธรรม จะครอบงำการเมืองโลก ..... การปะทะที่สำคัญที่สุดจะเป็นการปะทะกันระหว่างอารยธรรมตะวันตก กับ "อารยธรรมที่มิใช่ตะวันตก" แต่เขาใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ในบทความและหนังสือ บรรยายความขัดแย้ง ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและมีแนวโน้มว่าจะเกิด ระหว่างอารยธรรมที่เขาเรียกว่า ตะวันตกข้างหนึ่ง และอารยธรรม "อิสลามและขงจื๊อ" อีกข้างหนึ่ง ในแง่รายละเอียด ฮันติงตันให้ความสนใจอย่างไม่เป็นมิตรเอามากๆ กับอิสลาม มากกว่าอารยธรรมอื่นใดทั้งหมด ซึ่งภาพสะท้อนดังกล่าวนับวันยิ่งทวีความรุนแรง คำว่ามุสลิมสุดโต่ง((Muslim”s Extreme) การยึดมั่นในหลักการอิสลาม(Islamic Fundamentalism ) "อิสลามานุวัตร" (Islamization) เริ่มมีใช้มากขึ้นในสื่อทั้งไทยและเทศและแน่นอนปี 2549หรือในอนาคต อาจจะเป็นปีทองของคำเหล่านี้ก็เป็นได้ โดยเฉพาะ 2 คำแรกที่ผู้อ่านมีทัศนคติที่ไม่ดี ดังนั้นการติดอาวุธให้กับผู้อ่านและนักวิจัยจึงเป็นเรื่องจำเป็น คำว่า "ฟันดะเมนทะลิสม์" (Fundamentalism) โดยภาษาแล้วหมายถึง การยึดติดอยู่กับหลักการสำคัญหรือยึดติดอยู่กับคำสอนพื้นฐาน "ฟันดะเมนทะลิสม์" มีสองความหมายด้วยกัน ความหมายหนึ่งของคำว่า "อิสลามิก ฟันดะเมนทะลิสม์" ก็คือการยึดมั่นในหลักการที่ในภาษาอาหรับเรียกว่า "อิตติบะอ์"หรือการยึดมั่นทั้งในลายลักษณ์อักษรและเจตนารมณ์ ยุคปัจจุบันเป็นยุคของเสรีภาพทางศาสนา ถ้าใครบางคนกล่าวว่าเขายึดถือศาสนาของเขาตามตัวอักษรก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปคัดค้านเพราะเขาผู้นั้นปฏิบัติตามเสรีภาพทางศาสนาของเขา ในขณะความหมายที่สองของ "อิสลามิก ฟันดะเมนทะลิสม์" ถูกแปลในความหมายว่าหมายถึงการใช้กำลังบังคับคนอื่นให้นับถือศาสนาของตนเองดังนั้นผู้เขียนมีทรรศนะว่า "อิสลามิก ฟันดะเมนทะลิสม์ในความหมายที่สอง"จะขัดกับเจตนารมณ์และเหตุผลของอิสลามทันที แนวความคิดที่สองของคำว่า "อิสลามิก ฟันดะเมนทะลิสม์" นี้เองได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ยุคปัจจุบันเรียกกันว่า "ลัทธิสุดโต่ง" (Extremism) หรือลัทธิก่อการร้ายอิสลาม ทั้งๆที่ความจริงแล้วคำว่า "ลัทธิสุดโต่ง" หรือ "ลัทธิก่อการร้าย" นั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเองความเป็นจริงหลักคำสอนของอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ มันไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนที่จะถือว่าอิสลามเป็นที่มาของคำว่าลัทธิก่อการร้ายหรือลัทธิสุดโต่ง ศาสดาแห่งอิสลามได้กล่าวว่า "ศาสนาที่ถูกประทานแก่ฉันเป็นศาสนาแห่งความกรุณาปรานีและใจกว้าง" ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่าในคำภีร์กุรอานของอิสลามส่งเสริมผู้ถูกกดขี่ให้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวเองและสั่งมุสลิมให้ช่วยเหลือคนที่ถูกกดขี่และได้รับความเดือดร้อนภายใต้เงื่อนไขของการญิฮาด การก่อการร้ายมิใช่การญิฮาด มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ฟะซาดในภาษาภาษาอาหรับ" (การก่อความเสียหายและความหายนะต่อสังคมโลก) ซึ่งขัดกับคำสอนของอิสลาม มีบางคนที่ใช้คำนี้อย่างผิดๆไปสนับสนุนการก่อการร้ายเพื่อแนวทางของตนเองแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาใช้สนับสนุนเพราะ อัลลอฮฺได้ดำรัสความว่า :
"เมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘จงอย่าก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน’ พวกเขากล่าวว่า ‘เปล่า เราเพียงแต่ต้องการแก้ไขสิ่งต่างๆต่างหาก’ แท้จริง พวกเขาคือผู้สร้างความเสียหาย แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่" (กุรอาน 2:11-12) อิสลามต้องการให้มนุษย์ทั้งหมดทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างยุติธรรมในความสันติและความสมานฉันท์ อิสลามได้ให้แนวทางที่ครบถ้วนสมบูรณ์แก่มุสลิมเพื่อหาความสงบทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสังคมและอิสลามใช้ให้มุสลิมมีมิตรไมตรีต่อผู้อื่นบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน มีโองการอัลกุรอานมากมายที่กล่าวถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับต่างศาสนิก เช่นอัลลอฮได้ตรัสความว่า "อัลลอฮมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขาและให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (60:8) ที่ประชุมภายใต้วัตถุประสงค์พิเศษของผู้นำชาติมุสลิมที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย ตามคำร้องขอของ กษัตริย์อับดุลเลาะห์ บิน อับดุล อาซิส แห่งซาอุดิอารเบีย เมื่อวันที่ 7-8 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ประกาศ "ปฏิญญาเมกกะฮ์" ยอมรับว่ามีมุสลิมหลายคนและหลายกลุ่มมีแนวคิดสุดโต่งเป้าหมายของการประชุมเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้งนี้ผู้นำของ 57 ชาติสมาชิกองค์การที่ประชุมอิสลาม (โอไอซี) ได้เน้นแนวทางสันติของอิสลาม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาวิธีคิดแบบสุดขั้วของกลุ่มก่อการร้าย อีกทั้งพยายามตอบคำถามกรณีที่มีผู้พยายามนำศาสนาอิสลามไปเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย โดยที่ประชุมเน้นเป็นพิเศษถึงเรื่องการ "ฟัตวา" (Fatwas) หรือการชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ว่า ต้องดำเนินการโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับเท่านั้น โดย "ซาอุด อัล-ไฟซาล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซาอุดิอารเบีย เสนอให้จัดตั้ง "สถาบันนิติศาสตร์อิสลาม" ของโอไอซี "ให้เป็นองค์กรอ้างอิงสูงสุด.... เพื่อกำหนดวิธีการที่จะระงับการตีความและการชี้ขาดที่แตกต่างกัน จนขยายกลายเป็นความขัดแย้ง"ใน "ปฏิญญาเมกกะฮ์ดังกล่าว" ได้เรียกร้องให้ชาติมุสลิม "ต่อสู้อย่างแข็งขันกับคำสอนที่บิดเบือนหลักการสันติของอิสลาม" และสร้าง "สามัคคีมหาประชาชาติ" เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายและสนับสนุนข้อเสนอของซาอุดิอารเบีย ให้จัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย (โปรดดู http://www.tjanews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=453&Itemid=58)การนำเอาลัทธิก่อการร้ายหรือลัทธิสุดโต่งมาใช้ในนามของอิสลามเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับอิสลาม และมุสลิมที่ใช้วิธีการก่อการร้ายหรือใช้ลัทธิสุดโต่งในนามของอิสลามนั้นก็ถือว่าเป็นการนำเอาอิสลามไปใช้ในทางที่ผิด (บรรจง บินกาซัน สรุปจาก : Principles of Islam โดย วาฮิดดุดดีน คาน คัดลอกจาก ไทยมุสลิมช็อป)อีกคำหนึ่งคือกระแสอิสลามานุวัตร (Islamization current) เป็นกระแสหรือวาทกรรมทางปัญญาของปัญญาชนมุสลิมสมัยปัจจุบัน กระแสดังกล่าวเป็นการโต้เถียงกันอย่างมีเหตุผล ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์ต่าง ๆ อันหลากหลายตามความถนัดของนักวิชาการมุสลิมในหลายสาขาวิชา ท่ามกลางกระแสการอิสลามานุวัตรนักวิชาการทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์อิสลามานุวัตรเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอิสลามานุวัตร อย่างไรก็ดีความคลุมเครือในบัญญัติคำศัพท์ยังคงมีอยู่ ดังนั้นการจำกัดความหมายดังกล่าวจึงเป็นเรื่องจำเป็นเบื้องต้นในการทำความเข้าใจ "อิสลามานุวัตร" (Islamization) ถูกจำแนกว่าเป็นกระบวนการองค์รวมของการกล่อมเกลาทางศาสนา บ้างก็บอกว่าเป็นมรรควิธี (Method) ที่จะนำมาซึ่งสังคมใหม่ ที่อุทิศให้กับหลักคำสอนของอิสลามในทุกแง่มุม ความจริงอิสลามานุวัตรเป็นประวัติศาสตร์ทางปัญญาของอิสลาม ซึ่งปัญญาชนมุสลิมในอดีตถึงปัจจุบันได้เพียรพยายามทำตามแบบอย่างท่านศาสดากล่าวคือการกระทำใด ๆ ก็ตามให้สอดคล้องกับหลักการคำสอนของพระเจ้า ในขณะที่ปัจจุบันอิสลามนุวัตรถือว่าเป็นกระบวนการการสังเคราะห์ (Synthesis) ที่นักวิชาการมุสลิมร่วมสมัยได้พยายามคิดค้นและแสวงหาทางออกให้กับสังคมมุสลิม ที่กำลังประสบวิกฤติการพัฒนาตามแบบฉบับของอิสลาม อิสลามานุวัตรจึงเป็นผลโดยตรงมาจากการสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาเพื่อให้สอดประสานกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งมีต้นแบบการพัฒนามาจากแนวทางการพัฒนาตามรูปแบบตะวันตกที่เน้นแนวทางการพัฒนาเชิงประจักษ์ (Emperical) เชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific) หรือการเน้นแนวทางการพัฒนาแบบโลกียนิยม (Secularism) ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการการทำให้เป็นแบบวิถีโลก(Secularization) ที่ต้องการลดความสำคัญและอิทธิพลของศาสนาออกไปจากชีวิตความเป็นจริงในด้านหนึ่ง(โปรดดู www.midnightuniv.org อิสลามศึกษา: อิสลามานุวัตร และ อิสลามานุวัตรองค์ความรู้ นิพนธ์ โซะเฮง : อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จ.กาญจนบุรี) สุดท้ายผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านน่าจะได้รับความรู้อีกแง่มุมหนึ่งจากศัพท์ของคำว่า: มุสลิมสุดโต่ง ((Muslim”s Extreme) การยึดมั่นในหลักการอิสลาม (Islamic Fundamentalism ) "อิสลามานุวัตร" (Islamization) ซึ่งเป็นกระแสโลกที่ต้องทำความเข้าใจ |
ไม่มีความเห็น