วิฑูรย์ บุญสุภาพ. (2550). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่อง
หน้าที่ชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5.
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นการศึกษาเพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้
แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) ศึกษาผลการเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ ด้วยการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัด
การเรียนรู้ แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 5/2 โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดดาวเรือง) สังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือ
ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่อง หน้าที่
ชาวพุทธ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจของ
นักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละและค่าเฉลี่ย
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า
1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ชาวพุทธ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ
87.20/86.50
2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่
ชาวพุทธ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.71 ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.00
3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยแผนการจัดการ
เรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยูในระดับมาก
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ จะช่วยให้ทั้งครูและนักเรียนเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงได้ และในทางกลับกันก็จะสามารถเชื่อมโยงเรื่องของชีวิตจริงภายนอกห้องเรียนเข้ากับสิ่งที่เรียนได้ ห้องเรียนจึงเปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก การเรียนเรื่องใด ๆ กับวิชาใด ๆ แบบแยกกันเป็นส่วน ๆ หรือในลักษณะที่มีความสัมพันธ์กันน้อยมากจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนมาเป็นการมุ่งเน้นการเรียนรู้ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ การแก้ปัญหาและการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ผู้เรียนจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยความกระตือรือร้น มีประสิทธิภาพ และสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้ใหม่อีกด้วย (กรมวิชาการ. 2540 : 2) นอกจากนี้แล้วการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการยังมีประโยชน์ในการขจัดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาต่าง ๆ ในหลักสูตรวิธีบูรณาการจะนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจว่า การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์และวิธีการต่าง ๆ อันหลากหลายและปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการเรียนรู้นั้น ๆ ทั้งนี้เนื้อหาต่าง ๆ ที่มีในหลักสูตรซึ่งอาจจะได้แก่ความรู้เกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว สังคมและโลกรอบตัว ในขณะที่มิติในทางสังคมแห่งการเรียนรู้จะได้แก่บทบาทครู และนักเรียนหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (กรมวิชาการ. 2540 : 7)
นโยบายการจัดการศึกษาของโรงเรียนด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนมากโรงเรียนจะเน้นผลสัมฤทธิ์ทางด้านพุทธิพิสัยมากกว่าจิตพิสัยและทักษะพิสัย ครูขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรไม่รู้จักประยุกต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนอาจจะยังไม่เข้าใจในวิธีสอนแบบต่าง ๆ อย่างเพียงพอ ครูยังยึดกับการสอนแบบเดิม คือการสอนแบบบรรยายไม่สามารถพัฒนาผู้เรียน ค่านิยมอันพึงประสงค์ได้ และปฏิบัติตนตามหน้าที่ของชาวพุทธได้ถูกต้อง โดยเฉพาะครูยังไม่เข้าใจวิธีการสอนแบบบูรณาการ การสอนพระพุทธศาสนาจะให้ได้ผลสำเร็จ ต้องสอนตามวิธีการสอนแบบบูรณาการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง ได้ฝึกทักษะต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ฝึกกระบวนการคิด ได้เรียนรู้ทักษะกระบวนการและเนื้อหาสาระไปพร้อม ๆ กันสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย เพราะการเรียนรู้วิชาหนึ่งอาจช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในวิชาอื่น ๆ ได้อีก (กรมวิชาการ. 2545 : 6)
ผู้ศึกษาค้นคว้าในฐานะผู้ปฏิบัติงานสายผู้สอน มีความสนใจที่จะศึกษาปัญหาและค้นคว้าหาแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระพระพุทธศาสนา จึงได้ทำการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการขึ้น เพื่อการพัฒนาปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นักเรียนมีเจตคติต่อสาระพระพุทธศาสนา และจะเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นกับเด็ก ส่งผลถึงสังคม ประเทศชาติในภายหน้า ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นต่อไป
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2. เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่อง หน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า
1. ได้แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
3. ได้ทราบความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่อง หน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดดาวเรือง) สังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 2 ห้องเรียน
2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนเทศบาล 5 (วัดดาวเรือง) สังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 ซึ่งได้มาจากสุ่มอย่างง่าย( Simple Random Sampling ) จำนวน 1 ห้อง มีนักเรียน 20 คน ซึ่งได้มาจากสุ่มอย่างง่าย
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. บูรณาการ หมายถึง การนำเอาศาสตร์หรือสาระสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง การเตรียมการสอนที่นำเอาเนื้อหาสาระพระพุทธศาสนา โดยจัดการเรียนรู้ในลักษณะการบูรณาการระหว่างวิชา ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะภายใต้หัวข้อเรื่องเดียวกัน โดยจัดรูปแบบของการบูรณาการ แบบสอดแทรกโดยครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สอดแทรกเนื้อหากลุ่มสาระต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกันเข้ามาจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสามารถประเมินผล โดยใช้กิจกรรมเดียวกัน โดยครูคนเดียวเป็นผู้ประเมิน
3. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง คะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนสามารถทำแบบฝึกท้ายแผน และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วผ่านการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทดสอบย่อยท้ายแผนและการสังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน ซึ่งจะต้องได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป
80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งจะต้องได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป
4. ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index) (E.I.) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน โดยการเทียบคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากคะแนนการทดสอบก่อนเรียน กับคะแนน ที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน และคะแนนเต็มหรือคะแนนสูงสุดกับคะแนนที่ได้จากการทดสอบ ก่อนเรียน
5. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น
6. ความพึงพอใจ หมายถึง เจตคติหรือความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรื่องหน้าที่ของชาวพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วัดได้ด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น จำนวน 10 ข้อ
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาเอกสารและกำหนดขอบเขตของการวิจัยเสนอผลการค้นคว้าจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
2. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และกิจกรรมการเรียน
การสอนพระพุทธศาสนา พุทธศักราช 2544
3. สาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา ระดับช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6)
4. เอกสารที่เกี่ยวกับการเขียนแผนการสอน(แผนการจัดการเรียนรู้)
5. แผนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
6. การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้
7. ดัชนีประสิทธิผล
8. ความพึงพอใจ
9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
9.1 งานวิจัยในประเทศ
9.2 งานวิจัยต่างประเทศ
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
กรมวิชาการ (2546 : 4) กำหนดหลักการของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตามนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศไว้ดังนี้
1. เป็นการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มุ่งเน้นความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
2. เป็นการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนจะได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
4. เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู้
5. เป็นหลักสูตรที่จัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์
จุดหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุขและมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ดังต่อไปนี้
1. เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
2. มีความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเขียนและรักการค้นคว้า
3. มีความรู้อันเป็นสากลรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการมีทักษะและศักยภาพในการจัดการการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทำงานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิด การสร้างปัญญาและทักษะในการดำเนินชีวิต
5. รักการออกกำลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าเป็นผู้บริโภค
7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดียึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
8. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
โครงสร้างหลักสูตร
เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดให้สถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องมีแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรสถานศึกษา จึงกำหนดโครงสร้างของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ (กรมวิชาการ. 2546 : 5)
ระดับช่วงชั้น
กำหนดหลักสูตรเป็น 4 ช่วงชั้น ตามระดับพัฒนาการของผู้เรียน ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3
ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6
ช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3
ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6
สาระการเรียนรู้
กำหนดสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรประกอบด้วยองค์ความรู้ทักษะ หรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนเป็น 8 กลุ่ม ดังนี้
1. ภาษาไทย
2. คณิตศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์
4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
5. สุขศึกษาและพลศึกษา
6. ศิลปะ
7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8. ภาษาต่างประเทศ
เอกสารที่เกี่ยวกับการเขียนแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้)
1. ความหมายของแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้)
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2536 : 133) ให้ความหมายของแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นแนวดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละครั้ง โดยกำหนดสาระสำคัญ จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ ตลอดจนการวัดผลและประเมินผล
กรมวิชาการ (2539 : 149) ให้ความหมายของแผนการเรียนการสอน หมายถึง เอกสารที่ได้เตรียมการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้อย่างละเอียดและชัดเจน ซึ่งครูหรือผู้อื่นสามารถนำเอกสารแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) นี้ไปใช้สอนในห้องเรียนได้เลย
2. ความสำคัญของแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้)
ทวีศักดิ์ ไชยมาโย (2534 : 4 - 5) ให้ความสำคัญของแผนการสอนไว้ ดังนี้
1. ช่วยให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ในเรื่องหลักสูตรแนวการสอน การจัดทำจัดหาสื่อประกอบการสอน ตลอดจนวิธีการวัดและประเมินผลอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม
2. ช่วยให้เกิดการวางแผนวิธีสอน วิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะการทำแผนการสอน(แผนการจัดการเรียนรู้) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียน จากหลักสูตรกับหลักจิตวิทยาการศึกษาหรือวัตกรรมการเรียนใหม่ ๆ ตลอดจนปัจจัยอำนวยความสะดวกของโรงเรียนและสภาพปัญญา ความสนใจ ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและทรัพยากรในท้องถิ่น โดยใช้วิธีการเชิงระบบ เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ช่วยให้ครูมีคู่มือที่ทำด้วยตนเองไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ครบถ้วน สอดคล้องกับระยะเวลาและจำนวนคาบที่มีอยู่จริงในแต่ละภาคเรียน นั่นคือ สอนได้ครบถ้วนและทันเวลาช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการสอนมากขึ้น
4. ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ช่วยให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะได้รับการแก้ไข และทราบจุดเด่นที่ควรได้รับการเสริมสร้างต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูเห็นภาพการทำงานของตนเองให้เด่นชัดขึ้น
5. ครูผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เพื่อเสนอแนะแก่บุคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการ ศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร เพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
6. ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องสามารถทราบขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ในการสอนของครู เพื่อการนิเทศติดตาม และประเมินผลการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ผู้สอนติดธุระจำเป็น ไม่สามารถสอนด้วยตนเองได้ แผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) จะใช้เป็นคู่มือผู้มาสอนแทนได้อย่างดี
8. เป็นการพัฒนาวิชาชีพครู ที่แสดงว่างานสอนต้องได้รับการฝึกฝน มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ
9. เป็นผลงานทางวิชาการอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญพิเศษ หรือความเชี่ยวชาญของผู้จัดทำแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) ซึ่งสามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่และเสนอเลื่อนระดับให้สูงขึ้นได้
3. แผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) ที่ดี
กรมวิชาการ (2535 : 56) แผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) ที่ต้องมีรายละเอียดชัดเจนในกิจกรรมของครูของนักเรียน ว่าทำอะไร อภิปรายในประเด็นใด ตั้งคำถามว่าอย่างไร แนวคำตอบถูกต้องหรือไม่ ข้อสรุปมีลักษณะอย่างไร ใช้สื่ออะไร การเขียนแผนการสอนอาจปรับปรุงได้หลากหลาย มีทั้งแบบใช้ตารางคล้ายการบันทึกการสอนหรือแบบบรรยาย โดยไม่ใช้ตารางก็ได้ สิ่งที่ควรกล่าวให้ชัดเจนในแผนการสอน (แผนการจัดการเรียนรู้) ได้แก่
1. ชื่อเรื่อง
2. จำนวนคาบ
3. สาระสำคัญ
4. จุดประสงค์การเรียนรู้
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
6. สื่อการเรียนการสอน
7. การวัดผลประเมินผล
ผู้ศึกษาค้นคว้าสรุปแผนการสอนที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมมากที่สุดมีกิจกรรมที่หลากหลาย ครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทางและกระตุ้นให้กิจกรรมการเรียนรู้นั้นบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
4. ประโยชน์ของแผนการเรียนรู้
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2536 : 134) กล่าวถึงประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ว่าถ้าครูได้จัดทำแผนการเรียนรู้ และใช้แผนการเรียนรู้ ที่จัดทำขึ้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นำข้อบกพร่องมาปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้สอนในคราวต่อไป แผนการเรียนรู้ ดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ ดังนี้
1. ครูรู้วัตถุประสงค์การสอน
2. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยความมั่นใจ
3. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน
4. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพตรงตามเจตนาหลักสูตร
5. ถ้าครูประจำชั้นไม่ได้สอน ผู้ที่สอนแทนสามารถสอนแทนได้ตามจุดประสงค์ที่กำหนด
แผนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
1. ความหมายของบูรณาการ (Intergration)
การบูรณาการ หมายถึง การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงศาสตร์ หรือเนื้อหาสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความรู้ที่มีความหมายมีความหลากหลาย และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน
2. ความเป็นมาของการสอนแบบบูรณาการ
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 223-232) ได้กล่าวถึงความเป็นมาของการสอนแบบบูรณาการว่า หลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของไทยเราที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ได้กล่าวถึงเรื่องบูรณาการไว้อย่างชัดเจน ในแนวทางการดำเนินงานสำหรับการจัดการศึกษาตามหลักสูตร และถ้าจะนึกย้อนทบทวนกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วก็จะพบว่าการจัดการศึกษาของไทยแท้แต่โบราณก็ถือเอาผู้เรียนเป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลางมาแต่เดิม ครูจะจัดการศึกษาให้ศิษย์ก็ต้องคำนึงถึงพื้นฐานทางพฤติกรรม และอุปนิสัยของศิษย์แต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกันเป็นที่ตั้งรวมทั้งเนื้อหาของวิชาที่สอนก็จะอนุโลมให้ดำเนินไปตามวิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญด้วยเหตุนี้ การบูรณาการจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับวงการศึกษาไทยและครูไทยแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเราจะให้ความสำคัญและความเอาใจใส่แก่กรณีนี้เป็นพิเศษเพียงใดหรือไม่เท่านั้นเอง
3. ทำไมต้องบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอน
สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2546 : 184) ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอน มีดังนี้
1. เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นวิถีชีวิตประจำวันของผู้เรียนต่างสอดคล้องสัมพันธ์กัน ไม่ได้แยกส่วนออกจากกันเป็นเรื่อง ๆ แบบรายวิชาเรียน
2. ข้อค้นพบทั้งทางทฤษฎีการเรียนรู้และผลวิจัยทางการศึกษาต่างยืนยันตรงกันว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความหมายเมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิต
3. ปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน หรือยุคฟ้าบ่อาจกั้น หรือยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) สรรพศาสตร์ทั้งหลายที่มีมากมายในโลกได้รับการจัดระบบที่ดี เชื่อมโยงกับเรื่องราวที่ค้นพบใหม่ ทุกคนมีสิทธิเท่า ๆ กันในการแสวงหา ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น พึ่งพิงผู้สอนน้อยลง ผู้สอนจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกเฉพาะสาระที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่ผู้เรียนต้องการโดยใช้เวลา เท่าเดิม
4. ไม่มียาอายุวัฒนะฉันใด ก็ยังไม่มีหลักสูตรวิชาใดเพียงวิชาเดียวที่สำเร็จรูป และสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้
5. การเชื่อมโยงเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องกันจะช่วยลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาและระยะเวลาเรียน ลดภาระงานผู้สอน ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายมากขึ้น เรียกว่ามีแต่ได้กับได้ (Win - Win)
6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้ใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถและทักษะที่หลากหลายในการเข้าร่วมกิจกรรม
4. ประเภทของการบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอน
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 233-234) ได้กล่าวถึงประเภทของการบูรณาการไว้ดังนี้
1. แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ได้แก่ การสร้างหัวเรื่อง (Theme) ขึ้นมาแล้วนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาโยงสัมพันธ์กับหัวเรื่องนั้น ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะเรียกวิธีบูรณาการแบบนี้ได้ว่าสหวิทยาการแบบมีหัวข้อ (Themetic Interdisciplinary Studies) หรือการบูรณาการที่เน้นการนำไปใช้เป็นหลัก (Application – First Approach)
2. แบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) ได้แก่ การนำเรื่องที่ต้องการจะจัดให้เกิดบูรณาการไปสอดแทรก (Infusion) ไว้ในวิชาต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะเรียกวิธีบูรณาการแบบนี้ว่าการบูรณาการที่เน้นเนื้อหารายวิชาเป็นหลัก (Discipline – First Approach)
ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการหลักสูตรแบบใดก็ตาม ในการจัดการเรียนการสอนต้องคำนึงถึงหลักการที่สำคัญ 5 ประการ ประกอบด้วยเสมอ ได้แก่
1. การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนอย่างกระตือรือร้น
2. การส่งเสริมให้นักเรียนได้ร่วมทำงานกลุ่มด้วยตนเอง โดยส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่หลากหลายในการเรียนการสอน และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้ลงมือทำด้วยตนเอง
3. จัดประสบการณ์ตรงให้แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมเข้าใจง่าย ตรงกับความเป็นจริง สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างได้ผล และส่งเสริมให้มีโอกาสได้ปฏิบัติจริง จนเกิดทักษะและความสามารถที่ติดเป็นนิสัย
4. จัดบรรยากาศในชั้นเรียน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกกล้าคิด กล้าทำ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงออก ซึ่งความรู้สึกนึกคิดของตนต่อสาธารณชน หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดกับผู้เรียน
5. เน้นการปลูกฝังจิตสำนึก ค่านิยมและจริยธรรมที่ถูกต้องดีงาม ให้ผู้เรียนสามารถจำแนกแยกแยะความถูกต้องดีงาม และความเหมาะสมได้ สามารถขจัดความขัดแย้งได้ด้วยเหตุผลมีความกล้าหาญทางจริยธรรม และแก้ปัญหาด้วยปัญญาและสามัคคี
5. ลักษณะของการสอนแบบบูรณาการ การบูรณาการมีลักษณะโดยรวมดังนี้
1. เป็นการบูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ ปัจจุบันการเรียนการสอนด้วยวิธีเดิม เช่น การบอกเล่า การบรรยายและการท่องจำ อาจไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้ ผู้เรียนควรเป็นผู้สำรวจความสนใจของตนเอง ว่าในองค์ความรู้หลากหลายนั้น อะไรคือสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างแท้จริง ตนควรจะแสวงหาความรู้เพื่อตอบสนองความสนใจเหล่านั้นได้อย่างไร เพียงใดและด้วยกระบวนการเช่นไร ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนลักษณะนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. เป็นการบูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้ และพัฒนาการทางจิตใจ คือ การให้ความสำคัญแก่จิตพิสัย คือ จิตคติ ค่านิยม ความสนใจและสุนทรียภาพ แก่ผู้เรียนในการแสวงหาความรู้ด้วยไม่ใช่เน้นแต่เพียงองค์ความรู้ หรือพุทธิพิสัยแต่เพียงอย่างเดียว
3. เป็นการบูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำเ
มีไม่ครบ5บทหรอคะ
มี 2 บทหรือค่ะ มีค่าใช้จ่ายหรือไม่
จะรบกวนขอบทที่3-5 จะต้องทำอย่างไรดีค่ะ มีค่าใช้จ่ายหรือไม่ค่ะเพราะหัวหน้าฝ่ายเรียกเก็บแต่ยังไม่มีงานส่งเลยค่ะ
สนใจศึกษางานวิจัยค่ะ