การใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก
พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (พรรณา)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
-----------------------------------
การใช้เหตุผลกับคนอื่น
การใช้เหตุผลกับคนอื่นในที่นี้หมายถึงการที่บุคคลพยายามใช้เหตุผลโน้มน้าวคนอื่นให้เชื่อตามสิ่งที่ตนนำเสนอ ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วว่า การเผยแผ่ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นท่ามกลางสังคมอินเดียที่นับถือศาสนาอื่นอยู่ก่อนแล้ว ภารกิจของพระองค์คือการโน้มน้าวให้คนในสังคมหันมาเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ แน่นอนว่าการเปลี่ยนจิตใจคนเป็นเรื่องยากลำบาก จะต้องอาศัยวิธีการหลายอย่างผสมผสานกันไป หนึ่งในนั้นก็คือการใช้เหตุผลโน้มน้าวให้คนคล้อยตาม ต่อไปนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างข้อมูลในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เหตุผลเพื่อผู้อื่น
(๑) เหตุผลในการรักษาศีล: เมื่อพูดถึงการรักษาศีลส่วนใหญ่คนจะคิดถึงการรักษาศีลตามประเพณีหรือเชิงพิธีกรรม น้อยคนจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องรักษาศีล อะไรคือเหตุผลในการรักษาศีล ทำไมก่อนรักษาศีลต้องมีการอาราธนาขอศีลจากพระสงฆ์ ในพระไตรปิฎกนั้นก่อนที่พระพุทธเจ้าจะสอนให้คนรักษาศีล พระองค์ทรงทำให้เขาเชื่อก่อนว่าทำไมถึงต้องรักษาศีล ซึ่งการทำให้เชื่อนี้ก็คือการโน้มน้าวด้วยเหตุผลนั่นเอง ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้
อริยสาวก พิจารณาเห็นดังนี้ “เราอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ ข้อที่บุคคลพึงปลงชีวิตเราผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์นั้น ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา อนึ่ง ข้อที่เราพึงปลงชีวิตผู้อื่น ผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์นั้น ก็ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจแม้ของผู้อื่น สิ่งใดไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของเรา สิ่งนั้นก็ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจแม้ของผู้อื่น สิ่งใดไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา เราจะนำสิ่งนั้นไปผูกมัดกับผู้อื่นได้อย่างไร” อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เองด้วย ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย กล่าวสรรเสริญการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย[1]
ข้อความข้างต้นนี้สรุปง่ายๆ ก็คือ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั่นเอง จะเห็นว่าเบื้องหลังการรักษาศีลมาจากการคิดที่เริ่มต้นจากตนเองว่าเรารักและหวงแหนชีวิตของเรา รักสุขเกลียดทุกข์ และไม่อยากให้ใครมาทำลายชีวิตเรา จากนั้นก็คิดเชื่อมโยงไปหาคนอื่นว่าเขาก็คงรักและหวงแหนชีวิตเหมือนกับเรา เมื่อทุกคนต่างก็รักชีวิต เราจึงควรรักษาศีลที่ว่าด้วยการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ สรุปว่าการรักษาศีลในพระพุทธศาสนาไม่ใช่การบังคับจากคนอื่น หากแต่เกิดจากการพิจารณาจนเห็นดีเห็นงามด้วยตนเองแล้วจึงตัดสินใจรักษา แม้แต่การอาราธนาขอศีลจากพระภิกษุ ก็มีรากฐานมาจากความยินยอมพร้อมใจของตนนี้เอง
(๒) เหตุผลการในปฏิเสธระบบวรรณะ: ระบบวรรณะเป็นความเชื่อที่ฝั่งรากลึกในสังคมอินเดียมาอย่างยาวนาน เป็นระบบที่ตัดสินคนจากชาติกำเนิด พระพุทธเจ้าทรงไม่เห็นด้วยกับระบบความเชื่อนี้ จึงทรงเปลี่ยนการตัดสินคนมาอยู่ที่หลักกรรมหรือหลักแห่งการกระทำของแต่ละคน แต่การที่จะทำให้คนในสังคมอินเดียสมัยนั้นเชื่อว่าการติดสินคนด้วยการกระทำดีกว่าตัดสินด้วยชาติกำเนิดนั้น พระองค์ต้องทรงใช้เหตุผลโน้มน้าวมากพอสมควร ในพระไตรปิฎกมีสูตรหนึ่งชื่อว่า “อัคคัญญสูตร” สาระสำคัญของพระสูตรนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิเสธระบบวรรณะ เนื้อหาของพระสูตรได้กล่าวถึงการสนทนากันระหว่างพระพุทธเจ้ากับสามเณร ๒ รูป คือ วาเสฏฐะ และภารัทวาชะ ผู้ออกบวชจากวรรณะพราหมณ์ พระพุทธเจ้าตรัสถามสามเณรว่าการที่เธอทั้งสองออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ พวกพราหมณ์เขาว่าอย่างไรกันบ้าง สามเณรทั้งสองจึงกราบทูลด้วยข้อความต่อไปนี้
Tข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า “วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม เจ้าทั้งสองมาละวรรณะที่ประเสริฐ เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือสมณะโล้น เป็นคนรับใช้ เป็นวรรณะต่ำ เป็นคนวรรณะต่ำ (กัณหโคตร) เป็นเผ่าของมาร เกิดจากบาทของพระพรหม…”[2]
จะเห็นว่า เหตุผลที่พวกพราหมณ์ใช้สนับสนุนว่าวรรณะของตนประเสริฐกว่าวรรณะอื่นๆ คือ การมีผิวขาวและชาติกำเนิดที่ถูกสร้างมาจากปากของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นๆ เลวทรามกว่าเพราะมีผิวดำและชาติกำเนิดที่ถูกสร้างมาจากเท้าของพระพรหม การออกบวชของสามเณรสองรูปถือว่าเป็นการลดตนจากวรรณะที่สูงส่งไปสู่วรรณะที่ต่ำทราม พระพุทธเจ้าทรงแย้งเหตุผลของพวกพราหมณ์ว่า “Tวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ปรากฏชัดอยู่ว่า นางพราหมณีของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ก็พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทางช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น…”[3] หมายความว่าพราหมณ์นั้นไม่ได้ถูกสร้างมาจากปากของพระพรหมแต่อย่างใด ผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้นมาก็คือนางพราหมณีผู้เป็นมารดาของพวกเขานั่นเอง ข้อความนี้พระพุทธเจ้าทรงต้องการอธิบายถึงชาติกำเนิดของมนุษย์โดยตัดประเด็นเรื่องการสร้างของพระพรหมออกไป แล้วยกให้มารดาเป็นผู้สร้างที่แท้จริง เมื่อมารดาเป็นที่มาของมนุษย์ทุกคน เรื่องชาติกำเนิดก็ถือว่าเสมอเหมือนกันหมด เมื่อเสมอเหมือนกันหมดก็ไม่มีเหตุผลที่เอาเรื่องนี้มาวัดว่าใครสูงต่ำกว่ากัน สิ่งที่จะเอามาวัดได้ก็คือกรรมหรือการกระทำของแต่ละบุคคล ดังข้อความที่ว่า “บรรดาวรรณะ ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุประโยชน์ตนตามลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว พลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายในวรรณะ ๔ เหล่านั้น…”[4]
นอกจากนั้น วิธีการปฏิเสธระบบวรรณะของพระพุทธเจ้าอีกแบบหนึ่ง คือการตรัสเล่าถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ นับตั้งแต่อาภัสสรพรหมลงมาเกิดในโลกแล้ววิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จนมีจำนวนมนุษย์มากขึ้นโดยลำดับ แรกๆ ก็หาอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ต่อมาเมื่อมนุษย์มากขึ้นก็มีการกักตุนอาหารและจับจองพื้นที่ไว้เป็นของส่วนตัว จนอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติไม่เพียงพอ จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งและการลักขโมยกันเกิดขึ้น เมื่อมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ คนในชุมชนจึงได้ประชุมคัดเลือกผู้นำของตนขึ้นมา เพื่อให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและแก้ปัญหาข้อพิพาทต่างๆ จึงเป็นที่มาของคำว่า “มหาชนสมมติ” (ผู้ที่มหาชนยอมรับ) “ราชา” (ผู้ทำให้คนชอบใจ) และ “กษัตริย์” (ผู้เป็นเจ้าแห่งนา/เจ้าแผ่นดิน) ต่อมาก็มีคนทำหน้าที่อื่นๆ แตกต่างหลากหลายในสังคม จนกลายมาเป็นวรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร พระประสงค์ของพระพุทธเจ้าในการตรัสเล่าถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์นั้น ก็เพื่อสนับสนุนข้อสรุปที่ว่า วรรณะทั้ง ๔ ไม่ได้ถูกสร้างมาจากอวัยวะส่วนต่างๆ ของพระพรหม หากแต่เกิดมาจากวิวัฒนาการมาตามลำดับของสังคมมนุษย์นั่นเอง
(๓) เหตุผลปฏิเสธหนทางสู่การอยู่ร่วมกับพระพรหม: ตามความเชื่อของสังคมอินเดียสมัยพุทธกาลนั้น ถือว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง รวมทั้งระบบวรรณะ ๔ ด้วย ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหนึ่งชื่อว่า “เตวิชชสูตร” กล่าวถึงการถกเถียงกันของมาณพ ๒ คน คือ วาเสฏฐมาณพ กับ ภารัทวาชมาณพ เรื่องทางที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกับพระพรหม แต่ละคนต่างก็ยืนยันว่าทางที่พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของตนบอกไว้เท่านั้นเป็นทางที่ถูกต้อง ส่วนทางที่อาจารย์ของฝ่ายตรงข้ามบอกไว้เป็นทางที่ผิด เมื่อแต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ช่วยตัดสิน พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่ทรงตั้งคำถามกับมาณพสองคนนั้นว่า บรรดาพวกฤาษีผู้จบไตรเพท ผู้เป็นบูรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้บอกมนตร์ให้พวกพราหมณ์สวดขับกล่อมและรวบรวมไว้ต่อๆ กันมานั้น “แม้ฤาษีเหล่านั้นมีไหมที่กล่าวอย่างนี้ว่าพวกเรารู้ พวกเราเห็นพระพรหมนั้นว่าอยู่ที่ใด โดยที่ใด หรืออยู่ภพใด”[5] มาณพทั้งสองจึงกราบทูลว่าไม่มีฤาษีสักคนเลยที่ยืนยันว่าตนเห็นพระพรหม เมื่อพวกฤาษีผู้เป็นบูรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ พวกพราหมณ์รุ่นลูกศิษย์รุ่นต่อๆ มา จึงถือว่าเป็นผู้สืบทอดความเชื่อที่ผิดพลาดจากรุ่นสู่รุ่น ดังข้อความที่ว่า “วาเสฏฐะ ภาษิตของพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทเหมือนคนตาบอดเข้าแถวเกาะหลังกัน คนอยู่หัวแถว คนอยู่กลางแถว และคนอยู่ปลายแถว ต่างก็มองไม่เห็น…” [6] หมายความว่าเมื่อคนรุ่นแรกๆ ผิดพลาดเสียแล้ว คนรุ่นหลังที่เดินตามหลังมาก็ผิดพลาดตามไปด้วย พระพุทธเจ้าทรงยกอุปมาว่า การที่พราหมณ์ไม่รู้ไม่เห็นว่าพระพรหมอยู่ที่ใดแล้วมาบอกว่าตนรู้หนทางไปอยู่ร่วมกับพรหมนั้น เปรียบเหมือนคนสร้างบันใดขึ้นสู่ปราสาท ทั้งๆ ที่ตนยังไม่รู้เลยว่าปราสาทอยู่ที่ไหน มีขนาดสูงต่ำเท่าไร กลับไปบอกคนทั้งหลายว่าตนจะสร้างบันใดขึ้นปราสาทอย่างนั้นอย่างนี้[7] ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่สมเหตุสมผล
จากข้อมูลที่ยกมาจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นความไม่ถูกต้องในการอ้างเหตุผลของพวกพราหมณ์ นั่นคือความไม่สมเหตุสมผลระหว่างข้ออ้างหรือข้อสนับสนุน (premise) กับข้อสรุป (conclusion) ข้อสรุปของพราหมณ์แต่ละคนที่ถกเถียงกันนั้นก็คือว่า ทุกคนต่างยืนยันว่าหนทางไปสู่การอยู่ร่วมกับพระพรหมของตนถูกต้องที่สุด ถามว่าที่บอกว่าหนทางของตนถูกต้องนั้นหมายความว่าอย่างไร เอาเหตุผลอะไรมายันความถูกต้องที่ว่านั้น สุดท้ายทุกคนก็อ้างเหตุผลแบบเดียวกันคืออ้างฤาษีผู้เป็นบูรพาอาจารย์ในอดีตที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยไม่มีใครสักคนในสายอาจารย์เหล่านั้นยืนยันได้ว่าตนเคยเห็นพระพรหมหรือพระพรหมอยู่ที่ไหน
หลังจากแย้งการอ้างเหตุผลของพวกพราหมณ์แล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสนอหนทางไปสู่พรหมของพระองค์เอง โดยตรัสถามมาณพทั้งสองต่อว่า พวกพราหมณ์ที่เสนอหนทางไปอยู่ร่วมกับพระพรหมนั้น มีเครื่องเกาะเกี่ยวคือสตรี มีจิตจองเวร มีจิตเบียดเบียน มีจิตเศร้าหมอง มีจิตไม่อยู่ในอำนาจหรือไม่ มาณพทั้งสองยืนยันว่าพวกพราหมณ์ยังมีคุณสมบัติแบบนี้อยู่ แล้วตรัสถามต่อว่าพระพรหมมีคุณสมบัติอย่างนี้หรือไม่ ทั้งสองตอบว่าพระพรหมไม่มีคุณสมบัติอย่างนี้ หมายความว่าพระพรหมไม่มีเครื่องเกาะเกี่ยวคือสตรี ไม่มีจิตจองเวร ไม่มีจิตเบียดเบียน ไม่มีจิตเศร้าหมอง และมีจิตอยู่ในอำนาจ นี้คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างเป้าหมาย (End) กับวิธีการ (Means) ของพวกพราหมณ์ เป้าหมายที่ต้องการจะไปคือพระพรหมมีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง แต่พวกพราหมณ์มีคุณสมบัติชนิดตรงกันข้ามกันเลย ดังนั้น การไปอยู่ร่วมกับพระพรหมจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานในเตวิชชสูตรดูเหมือนพราหมณ์จะไม่สนใจการสร้างคุณสมบัติให้เหมือนพระพรหม เน้นในการสวดมนตร์อ้อนวอนพระพรหมมากกว่า ตรงนี้พระพุทธทรงแย้งด้วยอุปมาว่า เหมือนชายคนหนึ่งต้องการข้ามแม่น้ำอจิรวดีที่มีน้ำเต็มเปี่ยม แทนที่จะหาวิธีข้ามไปให้ได้ กลับยืนอยู่บนฝั่งแล้วร้องตะโกนว่า “เจ้าฝั่งโน้นจงมาหาข้าที่ฝั่งนี้ด้วยเถิด” ถึงจะเรียกร้องอย่างไรฝั่งข้างโน้นก็ไม่มาหาเขาแน่นอน เหตุผลของพระพุทธเจ้าก็คือว่าถ้าต้องการข้ามแม่น้ำไปฝั่งโน้น เราต้องสร้างคุณสมบัติที่จะทำให้ข้ามฝั่งไปได้ เช่นหัดว่ายน้ำให้เป็น หรือพายเรือให้เป็นเป็นต้น จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงเสนอวิธีการเข้าถึงพระพรหมของพระองค์ โดยให้แต่ละคนสร้างคุณสมบัติภายในตนให้เหมือนหรือคล้ายกับพระพรหม เช่นให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วแผ่ไปทุกทิศทุกทางอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็สามารถไปอยู่ร่วมกับพรหมได้
สรุป
การใช้เหตุผลเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีคุณสมบัติหรือธรรมชาติแห่งการใช้เหตุผลอยู่ในตัว แต่ละคนจะใช้เหตุผลได้ดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของแต่ละคน พระพุทธศาสนานั้นเรายกย่องกันว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล มีวิธีคิดคล้ายวิทยาศาสตร์ ไม่ส่งเสริมให้คนเชื่ออะไรอย่างงมงาย ก่อนจะเชื่อหรือทำอะไรต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ ดังตัวอย่างในหลักกาลามสูตร ความหมายก็คือต้องการให้เรารู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผลนั่นเอง พระพุทธเจ้าเองนั้นเมื่อพระองค์สอนให้เราเป็นคนมีเหตุผล แน่นอนว่าพระองค์ก็ทรงเป็นแบบอย่างของคนที่มีเหตุผลด้วย (เช่นทรงมีสัปปุริสธรรม) การใช้เหตุผลของพระองค์ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง ทั้งในช่วงแสวงหาโมกธรรม ช่วงหลังตรัสรู้ใหม่ๆ และช่วงออกแสดงธรรมโปรดสัตว์ พระองค์ทรงใช้เหตุผลทั้งกับพระองค์เองและกับคนอื่น การใช้เหตุผลกับพระองค์เองได้นำไปสู่การตัดสินพระทัยและเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายครั้ง เช่นการตัดสินพระทัยเลือกหนทางตรัสรู้ การตัดสินพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม และการตัดสินที่จะแสดงธรรม เป็นต้น แม้การใช้เหตุผลกับคนอื่นก็เช่นกัน ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จในการประกาศพระศาสนา เพราะการใช้เหตุผลมีบทบาทในการโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามแล้วหันมาปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์สอน อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมานี้ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าการใช้เหตุผลเป็นทั้งหมดแห่งความสำเร็จของพระพุทธเจ้า เพราะพระเกียรติคุณและพระจริยาวัตรอันงดงามของพระองค์ก็มีส่วนสำคัญในการโน้มน้าวให้คนปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เหมือนกัน
---------------------------
เอกสารอ้างอิง
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
วศิน อินทสระ. ตรรกศาสตร์พุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ธรรมดา, ๒๕๔๘.
สมภาร พรมทา. คิดอย่างไรให้มีเหตุผล. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๕๑.
Bapat, Lata S. Buddhist Logic. Delhi: Amar Printing Agency, 1989.
Salmon, Wesley C. Logic. New Jersey: Prentice-Hall., Inc., Englewood Cliffs, 1984.
Stcherbatsky, Th. Buddhist Logic. 2 Volumes. Delhi: Motilal Banarsidass, 1994.
TP[1]PT สํ.ม. ๑๙/๑๐๐๓/๕๐๒. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[2]PT ที.ปา. ๑๑/๑๑๓/๘๔. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[3]PT ที.ปา. ๑๑/๑๑๔/๘๕. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[4]PT ที.ปา. ๑๑/๑๑๙/๑๐๒. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[5]PT ที.สี ๙/๕๒๕/๒๓๓. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[6]PT ที.สี. ๙/๕๒๙/๒๓๔. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
TP[7]PT ที.สี. ๙/๕๒๙/๒๓๔. (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
ไม่มีความเห็น