ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสไว้ เพื่อต้องการให้คนไทยน้อมนำมาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อให้คนไทยเป็นสุข บนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงการมีภูมิคุ้มกันในตัวเองที่ดี ทั้งนี้ต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง และมีคุณธรรมในการดำรงชีวิต สามารถประยุกต์ใช้ได้กับชีวิต ครอบครัว ชุมชน องค์กร ต่างๆ ได้อย่างดียิ่ง
การพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อให้คนในหมู่บ้านเป็นสุข ตั้งใจจะเขียนเรื่องเป็นอย่างยิ่ง เพียรมานานแต่ไม่สำเร็จ ที่ไม่สำเร็จเพราะเข้าใจไม่พอ รู้ไม่จริง ที่เขียนวันนี้ไม่ใช่เพราะรู้จริง แต่ฟังมาจากคนทำ คนรู้ หลายคน เรียบเรียง สรุปกรอบความคิดเป็นกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำเสนอกับหลายกลุ่ม หลายคน หลายหมู่บ้าน แล้วถามเพื่อขอคำตอบว่าทำได้หรือไม่ เข้าใจได้หรือไม่ เป็นจริงได้หรือไม่
คำตอบที่ได้รับ ต้องขอบคุณ และเป็นแรงสร้างความคิด มาเป็นลายเขียน เรียงถ้อยความเพื่อเล่า ให้คนอื่นได้อ่าน และหวังความสำเร็จจากการนำไปปฏิบัติ สู่เป้าหมายให้คนในหมู่บ้านเป็นสุข ท่ามกลางกระแสแห่ง ทุนนิยมที่กระทบความคิดอยู่ทุกวัน ให้คนทำงานเพื่อกำไร โดยเอาเงินเป็นตัวตั้งของชีวิต เป้าหมายสูงสุดให้ได้เงินมาเพื่อนำไปให้กับคนอื่นที่มีอำนาจ ที่สร้างสิ่งของเพื่อล่อและเอาเงินจากชุมชนไป ด้วยวิธีการใดๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรม สุดท้ายเงินก็ทำลายวิถีชีวิตของชุมชน ทำลายความรักความสามัคคี ทำลายความสุขของครอบครัว ทำลายความสุขของชุมชน
การพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สุดท้ายที่ต้องการคือชุมชนเป็นสุข ท่ามกลางวิถีสังคมแห่งทุนนิยม เพราะเราเปลี่ยนระบบของสังคมไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตให้อยู่รอดได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่โลภ ไม่หลง ต่อกระแสที่บั่นทอนสุขภาพของชุมชน ที่ทำลายภูมิคุ้มกันของชุมชน ต้องการให้ชุมชนอ่อนแอ ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราก็อ่อนแอ เมื่อเราอ่อนแอสุดท้ายชุมชนก็ถูกครอบครอง วิถีของชุมชนเป็นสุข ก็ถูกเปลี่ยนเป็นวิถีแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและการครอบครอง ทำล้ายล้างซึ่งกันและกัน แบ่งแยกแตกกลุ่ม เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม สุดท้ายคนที่เดือดร้อนคือคนที่อยู่ในชุมชน
การประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้าน เป็นกระบวนการเชิงระบบ ที่ต้องใช้เวลา เพราะเป็นการเปลี่ยนความคิดของคนให้เปลี่ยนวิถีแห่งการดำรงชีวิต ไม่ใช่เปลี่ยนคนเดียวแต่เปลี่ยนวิถีดำรงชีวิตของคนทั้งชุมชน ซึ่งมีหลายคน เริ่มแรกไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมด แต่ขอสักส่วนหนึ่งก่อนที่รู้และเข้าใจ พร้อมจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้สำเร็จ กรอบความคิดที่นำเสนอตามภาพด้านล่าง
จากกรอบความคิดการพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้าน โดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ประกอบด้วย 5 เวทีแห่งการเรียนรู้ ดังนี้
เวทีที่ 1 กระบวนการพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เวทีที่ 2 การค้นหาและการวิเคราะห์ทุนชุมชน
เวทีที่ 3 บัญชีครัวเรือนและการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน
เวทีที่ 4การวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
เวทีที่ 5 แผนชุมชนและกิจกรรมทางเลือก
เวทีที่ 1 กระบวนการพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ในเวทีนี้เริ่มต้นจากการนำกรอบความคิด การพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามภาพ นำเสนอต่อเวที เพื่อสร้างความเข้าใจในองค์รวม ของกระบวนการพัฒนาทั้งหมดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายชุมชนเป็นสุข โดยเริ่มต้นจากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมโยงเป้าหมายสุดท้ายของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือต้องการให้คนไทยเป็นสุข
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องแรกที่ต้องทำความเข้าใจ คือ ความพอประมาณ ความพอประมาณคือกระบวนการรู้จักตนเอง เน้นที่การพึ่งพาตนเอง ของชุมชน การรู้จักตนเองของชุมชนให้เริ่มต้นที่บัญชีครัวเรือน บัญชีครัวเรือนบ่งชี้วิถีการดำรงชีวิตของคนในชุมชน บ่งชี้ฐานะทางเศรษฐกิจของชุมชน ข้อมูลที่ชัดและเป็นจริง นำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาของชุมชน กิจกรรมของกระบวนการนี้ เน้นที่กิจกรรมการลดรายจ่ายของชุมชน
ความพอประมาณเรื่องที่สอง คือการค้นหาเพื่อรู้จักตนเองในเรื่องของทุนชุมชน ชุมชนมีอะไรดี ที่จะนำมาสู่กระบวนการพัฒนาให้ทุนดังกล่าวเป็นทุนที่ก่อให้เกิดรายได้กับชุมชนอย่างยืน ด้วยกระบวนการพึ่งพาตนเอง ทุนชุมชนไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่รวมถึงทุนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนกายภาพ ทุนการเงิน ทุนสังคม และทุนธรรมชาติ
เรื่องที่สอง คือ ภูมิคุ้มกัน จากภาพกรอบความคิด ทำให้เห็นภาพสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ที่กระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน ถ้าชุมชนอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดังกล่าว แสดงว่าชุมชนมีภูมิคุ้มกัน การที่ชุมชนจะมีภูมิคุ้มกันได้นั้น ภูมิคุ้มกันไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากชุมชนช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อแก้ปัญหา หรือป้องกันปัญหาไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน
เรื่องที่สาม คือ เรื่องหลักของเหตุผล หลักเหตุผลที่นำมาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้าน คือการค้นหาทุนชุมชน ชุมชนมีอะไรดี แล้วนำมาใช้เป็นทุนในการพึ่งพาตนเองของชุมชน อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นหลักของเหตุผล คือการใช้ข้อมูลบัญชีครัวเรือนมาเป็นฐานในการแก้ไขปัญหาของชุมชน โดยคนส่วนใหญ่ของชุมชนร่วมกันคิด มีปัญหาก็นำปัญหาเข้าสู่เวทีของชุมชน เพื่อคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา กิจกรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นกิจกรรมเพื่อชุมชนที่แท้จริง โดยเน้นที่การพึ่งพาตนเองของชุมชน การใช้หลักเหตุผลในการพัฒนาหมู่บ้าน จึงเป็นการใช้ข้อมูลมาเป็นฐานในการแก้ปัญหาของชุมชน โดยคนในชุมชนเอง
เรื่องที่สี่ เรื่องของความรู้คู่คุณธรรม ในการพัฒนาหมู่บ้านเมื่อใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์แล้ว สิ่งสำคัญที่จะทำกิจกรรมอะไร อย่าทำตามกระแส หรืออย่าทำเพราะเห็นว่าเพื่อนทำแล้วดี เพื่อนทำแล้วสำเร็จ แต่สร้างกิจกรรมจากข้อมูลของชุมชน เมื่อจะทำอะไรให้ถามตนเองก่อนว่าเรารู้เรื่องที่จะทำแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีต้องแสวงหาความรู้ก่อน เมื่อรู้จริงแล้วจึงทำ ทำแล้วจะผิดพลาดน้อย กิจกรรมก็จะประสบผลสำเร็จ ในการบริหารกิจกรรมของหมู่บ้านก็ต้องอาศัยหลักคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต เอื้อเฟื้อ แบ่งบัน ในการทำงานร่วมกันชุมชนก็เป็นสุข คนในชุมชนก็เป็นสุข
ทั้งหมดก็เป็นเวทีแรกในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ตั้งเป้าหมายร่วมกันของคนในชุมชน ว่าเราจะเดินไปให้ถึง “ชุมชนเป็นสุข” ตามกรอบความคิดข้างต้น
เวทีที่ 2 การค้นหาและการวิเคราะห์ทุนชุมชน
เวทีนี้เป็นเวทีการค้นหาทุนชุมชน เมื่อพูดเรื่องทุนชุมชน เราจะนึกถึงเรื่องเงินก่อนเรื่องอื่น ซึ่งทุนชุมชนอาจจะไม่ใช้เรื่องเงินอย่างเดียว เพราะมีทุนอื่น ๆ ที่สามารถนำใช้เป็นทรัพยากรในการพัฒนาหมู่บ้านได้สำเร็จ ดังนั้นทุนจึงมีหลายประเภท ได้แก่ ทุนด้านสังคม ทุนกายภาพ ทุนธรรมชาติ ทุนมนุษย์ และทุนการเงิน วิธีการของเวทีนี้คือให้ชุมชนช่วยกันค้นหาทุนของตนเอง ช่วยกันวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อย แล้วเก็บข้อมูลไว้ใช้ในการวางแผนพัฒนาหมู่บ้าน กระบวนการวิเคราะห์ทุนชุมชนอาจจะใช้ SWOT หรือ ตาราง Pantagon เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ก็ได้
เวทีที่ 3 บัญชีครัวเรือนและการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน
เวทีที่สามเป็นเป็นเรื่องของความพอประมาณ ความพอประมาณเป็นการรู้จักตนเอง การรู้จักตนเอง คือ รู้รายรับรายจ่ายของตนเอง มีรายได้เท่าไหร่ มีรายจ่ายเท่าไหร่ มีหนี้เท่าไหร่ จะวางแผนใช้จ่ายเงินของครอบครัวตนเองอย่างไร เรื่องเหล่านี้จะปรากฏอยู่ในบัญชีครัวเรือน เวทีนี้คนในหมู่บ้านจึงต้องเรียนรู้เรื่องการจัดทำบัญชีครัวเรือน การนำบัญชีครัวเรือนไปใช้ในการวางแผนพัฒนาหมู่บ้าน ต้องยกตัวอย่างให้เห็นให้ชัดเรื่อง การนำข้อมูลบัญชีครัวเรือนแต่ละเรื่องมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน แผนที่ได้คือ แผนชีวิต และแผนชุมชน ถ้าตัวอย่างไม่ชัดคนจะไม่ทำบัญชีครัวเรือน กิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีครัวเรือน จะเป็นกิจกรรมลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ของชุมชน
เวทีที่ 4 การวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
เวทีที่สี่ เวทีนี้ให้เวทีค้นหาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน แล้วให้ช่วยกันหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยการพึ่งเองก่อน โดยนำข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ทุนชุมชน มาใช้เป็นทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ต่าง ๆ กระบวนการแรกให้ช่วยกันค้นหาสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนก่อน หลังจากนั้นช่วยกันคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหา สิ่งที่ได้คือแผนชุมชนในการสร้างภูมิคุ้มกัน จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน อาจจะใช้แบบในการวิเคราะห์จะได้ข้อมูลและแผนเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง
เวทีที่ 5 แผนชุมชนและกิจกรรมทางเลือก
เวทีที่ 5 เป็นการรวบรวมแนวทางแก้ไขปัญหาจากการวิเคราะห์จากเวที ที่ 1-4 มาจัดทำเป็นแผนชุมชน แล้วนำแผนชุมชนที่ได้ไปสู่การปฏิบัติ โดยกิจกรรมทางเลือกที่ต้องทำก่อนในแผนชุมชนคือสิ่งที่ชุมชนสามารถทำได้เอง ไม่ต้องพึ่งทรัพยากรจากภายนอก ส่วนกิจกรรมที่ต้องพึ่งคนอื่นบางส่วน หรือต้องพึ่งทั้งหมด ก็วางแผนในการขอสนับสนุน ประสานงานต่อไป
กระบวนการพัฒนาหมู่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามกรอบแนวคิดข้างต้น (ตามภาพด้านล่าง) ได้ใช้ในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ปี 2553 ของจังหวัดชุมพร ใช้แล้วคนในชุมชนเข้าใจ ใช้แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตของคนชุมชน ส่วนรายละเอียดกระบวนการแต่ละเวทีนั้นจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป ขอบคุณถ้ามีข้อเสนอแนะ เพราะปีหน้าจะมีโครงการพัฒนาหมุ่บ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอีก....ขอบคุณครับ
แม้ต้องใช้เวลาอ่านนานหน่อย ก็คุ้มค่านะครับ สำหรับการเผยแพร่สาระดีดีเช่นนี้