บังเอิญ โชคดี หรือเพราะไม่มีใครถอดใจ-พยานที่ทำให้เราปิดงานได้ บันทึกการทำงานเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า : กรณีครอบครัวป้าสันที ตอน 3


รถตู้เพิ่งจะออกตัว ป้าสันทีเร่งเดิน สายตาแกจับจ้องไปที่มอเตอร์ไซด์ของลุงพุดา รถตู้ตามป้าสันทีทันในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ฉันอยากได้ยินเสียง“ใครสักคน”บอกให้จอดรถเพื่อลงไปตามแม่ขึ้นมาบนรถ แต่ได้ยินบางประโยคที่ยิ่งทำให้รู้สึกขัดใจ เจ้าหน้าที่กสม.ชะลอรถ แล้ว เรียกให้ “น้องสาว ขึ้นรถพี่ไปดีกว่า”

บังเอิญ โชคดี หรือเพราะไม่มีใครถอดใจ-พยานที่ทำให้เราปิดงานได้ 
บันทึกการทำงานเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า : กรณีครอบครัวป้าสันที ตอน 3
โดย ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล[1]
อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
10 สิงหาคม 2553

เป็นไปได้ไหมที่ “ครูอรุณ” จะสามารถยืนยันการเกิดของลูกทั้ง 4 คนของป้าสันทีว่าเกิดในประเทศไทยได้จริง?

ถึงพวกเราจะพอใจกับพยานที่เพิ่มเข้ามาอย่าง “วรรณาและเสวก”[2] แต่ข้อมูลใหม่ที่ได้มาก็ทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะเดินต่ออีกสักก้าว เพื่อที่จะได้กลับกรุงเทพฯ อย่างไม่มีอะไรติดค้างในใจ ฉันลองกดเบอร์โทรศัพท์ที่วรรณาให้ หลังจากแนะนำตัว ฉันถามเสียงปลายทางว่า “พอจะคุ้นๆ ครอบครัวชาวมอญ ชื่อป้าสันทีและลูกๆ ที่เคยอยู่ที่บ้านทุ่งก้างย่างได้หรือไม่ ป้าสันทีแกเคยเปิดร้านขายของ” คุยกันสักพัก

ครูอรุณก็บอกว่า “ครอบครัวเขามาด้วยหรือเปล่า ถ้ามาด้วย ก็พามาคุยกันเลย เดี๋ยวก็รู้ ถามแบบนี้ ผมไม่แน่ใจที่จะตอบ”

หลังจากพรินท์เอกสารที่ตัวเมือง และขับรถกลับเข้าไปที่บ้านหม่องสะเทอ เพื่อให้พยานแต่ละคนลงนามในบันทึกให้ถ้อยคำ ห้าโมงเย็นเศษแล้ว พวกเราและครอบครัวป้าสันทีมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนบ้านใหม่พัฒนา
 

‘ครูอรุณ’ พยานที่ช่วยเรา “สอบข้อเท็จจริงจากเคส”

ครูอรุณ รอพวกเราอยู่ที่หน้าห้องพักอาจารย์ของโรงเรียน สมาชิกครอบครัวป้าสันทีเข้าไปยกมือไหว้และทักทายครูอรุณด้วยท่าทีพยายามทบทวนความทรงจำให้กับครูอรุณ

คณะทำงานขอให้ครอบครัวป้าสันทีรออยู่นอกห้องพักครู เพื่อที่เราจะชี้แจงและหารือกับ ‘พยาน’ ก่อน ครูอรุณรับทราบและตอบรับวัตถุประสงค์การมาพบของพวกเรา ครูอรุณเสนอว่า “ไปเรียก เจ้าตัว มา เดี๋ยวผมซักเอง เดี๋ยวก็รู้ว่าพวกเขาเกิดที่บ้านทุ่งก้างย่างจริงหรือเปล่า”

เราขอให้ป้าสันทีและปัจราเข้ามาก่อน

ครูอรุณซักถามด้วยประโยคยาวต่อเนื่อง “บ้าน/ร้านอยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหนของบ้านทุ่งก้างย่าง” “ใกล้กับอะไร” “ข้างบ้านชื่ออะไร” “ไหนลอง บอกชื่อคนที่รู้จักมาสักคนสองคนซิ” “ห่างจากโรงเรียนเท่าไร”  “เปิดร้านขายของปีไหน” “ก่อนหน้านั้นทำอะไร” ฯลฯ

และถามปัจราว่า “โรงเรียนอยู่ตรงไหน”  “ใกล้กับอะไร” “ตอนนั้นครูสอนวิชาอะไร” “เรียนอยู่กี่ปี” “ครูที่สอนตอนนั้น ชื่ออะไรบ้าง” “ยกตัวอย่างครู และบอกลักษณะของครูที่เราจำได้มาซิ”

ทั้งป้าสันทีและปัจรา ตอบได้ทุกคำถาม-แม้จะต้องใช้เวลาคิด แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเลย

หลังจากนั้นก็ถึงคิวของ อำพล คำถามนั้นเหมือนกับที่ถามปัจรา และอำพลก็ตอบได้เหมือนกัน

โดยไม่มีสมาชิกของครอบครัวป้าสันทีอยู่ในห้อง หลังจากที่ครูอรุณ “ซักเคส” เสร็จ ครูอรุณบอกว่า “ตอบได้แบบนี้ ผมว่าป้าแกอยู่ (ที่บ้านทุ่งก้างย่าง) จริง แล้วลูกๆ แกก็เกิดที่นั่นจริง ผมรับรอง”

เราบันทึกถ้อยคำของครูอรุณ และให้ครูอรุณลงลายมือชื่อในฐานะพยานที่ยืนยันการอาศัยอยู่ของป้าสันที และยืนยันการเกิดและอาศัยอยู่ที่บ้านทุ่งก้างย่างของลูกทั้ง 4 ของป้าสันที

เย็นวันนั้น หลังอาหารค่ำ สมาชิกของครอบครัวป้าสันทีตั้งประเด็นกับคณะทำงานว่า “พวกผมมาทำอะไรที่นี่ เดี๋ยวก็บอกให้ไปทางโน้นที ไปทางนี้ที ตกลงให้พวกผมมาทำอะไร”

เป็นคำถามที่ชวนให้งุนงง สำหรับพวกเรา

เพราะตั้งแต่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ อ.กิติวรญา ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการลงพื้นที่ครั้งนี้ ชี้แจงกำหนดการ อย่างไรก็ดี พวกเราไม่มีปัญหากับการอธิบายซ้ำในข้อข้องใจใดๆ อ.กิติวรญา อธิบายซ้ำอีกรอบ สมาชิกครอบครัวดูพอใจกับการพบเจอพยานในครั้งนี้

ฉันช่วยตั้งข้อสังเกตในตอนท้ายไปเล็กน้อยว่า พยานที่บ้านหม่องสะเทอนั้น สามารถยืนยันได้ถึงการอาศัยอยู่ของครอบครัวป้าสันที แต่อาจพูดได้ว่าตอนนี้มีเพียงครูอรุณเท่านั้น ที่ยืนยันได้ว่าปัจรา และอำพลเกิดที่บ้านทุ่งก้างย่างจริง ส่วนอดุลย์ กับชาญชัยนั้น ยังไม่มีพยานรู้เห็นการเกิดที่ “ชัดๆ"

อ.กิติวรญา ย้ำว่า หากไม่มีพยานเพิ่มเติมอีก ตามกำหนดการในวันจันทร์ พวกเราจะไปที่อำเภอไทรโยค เพื่อให้ปัจรา อำพล อดุลย์และชาญชัย ยื่นคำร้องขอทำหนังสือรับรองการเกิดย้อนหลัง คือ ท.ร.20/1 พร้อมกับแนบบันทึกการให้ถ้อยคำของพยานบุคคลที่มี ดังนั้น หากเราสามารถรวบรวมพยานที่สามารถยืนยันได้ชัดๆ ว่าทั้ง 4 คนเกิดที่บ้านทุ่งก้างย่างจริง ไม่มีทางที่เราจะไม่ได้ท.ร.20/1 มา

คนตั้งคำถาม-เข้าใจแล้วว่าภารกิจอีกอย่างหนึ่งของการลงพื้นที่ครั้งนี้เกี่ยวกับพวกเขาโดยตรง เขาหันไปถามป้าสันทีว่าพอจะมีพยานคนอื่นอีกไหม

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เราได้ยินบางประโยคที่ตัดพ้อถึงคนเป็นแม่ที่โยกย้ายที่อยู่บ่อย ทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาถึงลูกถึงหลาน หลังจากนั้นก็เป็นเสียงขอร้องให้แม่พยายามนึกๆ ว่ายังมีใครที่พอจะเป็นพยานได้อีก ..ป้าสันทีกับลูกๆ หารือกัน ตลอดทางจนถึงที่พัก

ป้าสันทีเดินมาบอกพวกเราว่า มีพยานอีกคนที่รู้เห็นการเกิดของลูกคนอื่นๆ ชื่อพุดา อยู่ในตำบลหนองลูนี้เช่นกัน

เราสรุปงานกันเหมือนเคย เอกสารหลายอย่างที่ต้องเร่งต้องสแกนลงคอมพิวเตอร์ เป็นคืนที่สองที่พวกเราเข้านอนตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว
 

บังเอิญ โชคดี หรือเพราะไม่มีใครถอดใจ

เป็นวันที่ 3 ที่เราออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้า   พวกเราตัดสินใจไม่กินอาหารเช้าของทางโรงแรม เพื่อแลกกับการยื้อเวลานอนออกไปอีกสักนิด

ที่ลานจอดรถ-พวกเรายืนรอครอบครัวป้าสันที และรอใบเสร็จจากทางเกสต์เฮ้าส์ สักพักป้าสันทีและปัจราตามมา ป้าสันทีบอกให้หลานชายตัวเล็กที่มาด้วยวิ่งไปตามสมาชิกที่เหลือ กว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป เหลือเพียงใบเสร็จจากทางโรงแรมที่ยังไม่เสร็จ เราตัดสินใจออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ขอให้ บรีซ อยู่รอใบเสร็จ แล้วค่อยให้รถตู้มารับไปสมทบ

รถเราวิ่งไปตามถนนสายเดียวกับทางไปหมู่บ้านฝั่งมอญ อำพลบอกทาง ผ่านไปซักพัก คนนำทางเริ่มไม่แน่ใจ เจ้าหน้าที่ขับรถของกสม. จึงตัดสินใจจอดเพื่อถามชาวบ้านแถวนั้น รถจอดหน้าร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ มีคนอยู่หน้าร้าน 4-5 คน

ป้าสันทีกำลังจะลงจากรถเพื่อถามทาง ร้องออกมาเสียงดังว่า “นั่น-ใช่ พุดา หรือเปล่า นั่น-ใช่ พุดา หรือเปล่า”

ป้าสันทีรีบลงจากรถ และตรงไปหาชายสูงวัยคนหนึ่งที่กำลังจะขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปจากร้าน หลังจากการทักทายกัน ฉันถามลุงพุดา เพียงแค่ว่า จำป้าสันทีและลูกๆ ได้ไหม ลุงพุดาตอบว่า “จำได้” พวกเราจึงขอเวลาลุงพุดาเพื่อซักถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แกยินดี แต่ก็ถามกลับว่า “จะใช้เวลานานไหม ผมต้องรีบไปสวน คนงานรอผมอยู่ เนี่ย-ผมก็สายแล้วนะ” พวกเราตอบสั้นๆ ว่า ไม่น่าจะใช้เวลานาน

ป้าสันที เดินเร็วๆ ข้ามถนนเล็กๆ เพื่อคุยกับลุงพุดาที่ขี่มอเตอร์ไซด์ข้ามถนนไปซอยฝั่งตรงข้าม สักพักลุงพุดาก็เร่งความเร็วทิ้งให้ป้าสันทีเร่งเท้าเดินตามอยู่คนเดียว

รถตู้เพิ่งจะออกตัว ป้าสันทีเร่งเดิน สายตาแกจับจ้องไปที่มอเตอร์ไซด์ของลุงพุดา รถตู้ตามป้าสันทีทันในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ฉันอยากได้ยินเสียง“ใครสักคน”บอกให้จอดรถเพื่อลงไปตามแม่ขึ้นมาบนรถ แต่ได้ยินบางประโยคที่ยิ่งทำให้รู้สึกขัดใจ เจ้าหน้าที่กสม.ชะลอรถ แล้ว เรียกให้ “น้องสาว ขึ้นรถพี่ไปดีกว่า”

“มือข้างขวาของป้าสันที ” “..ผมจำมือเขาได้


“ผมจำมือเขาได้ มือขวาเขาเสีย” เป็นคำตอบแรกที่พวกเราถามลุงพุดา หลังจากนั้น เราขอให้ครอบครัวป้าสันทีขยับออกไปรอนอกโต๊ะที่เรานั่งคุยกับ ลุงพุดา

ปัจจุบัน ลุงพุดา ใช้ชื่อตามบัตรประชาชนไทยว่า ศักดา เกิดเมื่อปี 2501 ที่บ้านทุ่งก้างย่าง อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี  พ่อกับแม่เป็นชาวมอญ เข้ามาในประเทศไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ เท่าที่จำความได้ ขณะที่ลุงพุดาเกิด มีบ้านคนมอญประมาณ 7 หลัง มีคนกะเหรี่ยง ผู้ใหญ่บ้านคนแรกเป็นคนไทย-กะเหรี่ยง เจอป้าสันทีตั้งแต่ป้าสันทีเพิ่งอยู่กินกับนายปะสาว (หรือนายสอน) โดยป้าสันทีปลูกบ้านห่างจากลุงพุดา ประมาณครึ่งกิโลเมตร เปิดร้านขายของ บนที่ดินของนายพายัพ ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ของพื้นที่นั้น และบ้านทุ่งก้างย่างเริ่มขยายตัว ลุงพุดายืนยันว่ารู้เห็นการเกิดของปัจรา อำพล อดุลย์ และชาญชัย

ป้าบุญมีภรรยาของลุงพุดา ได้แทรกเพิ่มขึ้นว่า อำพลนั้นเกิดปีเดียวกันกับลูกชายคนโตของตน และเคยไปช่วยเฝ้านางสันทีอยู่ไฟ หลังคลอดอำพล

ไพโรจน์ ลูกชายของลุงพุดา และป้าบุญมี ก็ยืนยันว่ารู้จักกับปัจรา และเรียนชั้นเดียวกับอำพลที่โรงเรียนบ้านทุ่งก้างย่าง

ลุงวันชัย พี่ชายของป้าบุญมี ซึ่งอพยพเข้าไปที่บ้านทุ่งก้างย่าง ช่วงจอมพลสฤษดิ์ ก็ยืนยันว่าเห็นปัจรา อำพล อดุลย์ และชาญชัย รวมถึงลูกที่เสียชีวิตไปแล้วเกิดที่บ้านทุ่งก้างย่างจริง

ในช่วงที่มีคำสั่งให้คนมอญอพยพย้ายออกจากบ้านทุ่งก้างย่าง “ผมก็ไม่อยากอยู่แล้ว” ลุงพุดาและครอบครัวจึงย้ายออกจากบ้านทุ่งก้างย่าง ซึ่งออกมาก่อนครอบครัวป้าสันที หลังจากนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลย

ทุกคน-ลุงพุดา ป้าบุญมี ลุงวันชัย และไพโรจน์ ยินดีเซ็นต์รับรองการให้ถ้อยคำในฐานะพยานยืนยันสถานที่เกิดของลูกๆ 4 คนของป้าสันที

งานของเราในส่วนการสอบข้อเท็จจริงถึงสถานที่เกิดของลูกป้าสันทีทั้ง 5 คน จบลงแล้ว!

ในวันพรุ่งนี้ ลูกทั้ง 4 ของป้าสันทีจะยื่นคำร้องขอเอกสารรับรองการเกิดย้อนหลัง (ท.ร.20/1) กับอำเภอไทรโยค พร้อมกับแนบเอกสารบันทึกการให้ถ้อยคำของพยานบุคคลทั้งหมดที่คณะทำงานรวบรวมมา แม้เราจะค่อนข้างมั่นใจในข้อมูลในมือ แต่ที่เหลือก็ขึ้นกับลูกๆ ของป้าสันที รวมถึงความเข้าใจของอำเภอไทรโยค ต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

----------------------------------------------

[1] อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT)

[2] ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล, ใครกัน? ที่จะมายืนยันว่า ลูกอีก 4 คนของป้าสันที่เกิดที่อำเภอไทรโยคจริง บันทึกการทำงานเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า : กรณีครอบครัวป้าสันที ตอน 2
สืบค้นได้ที่http://gotoknow.org/blog/darunee-universal-birth-km-4-registration/383163

 

หมายเลขบันทึก: 386667เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2010 18:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม 2012 14:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท