สมัยเด็กผมมีโอกาสดีได้อยู่กับครอบครัวใหญ่มีปู่มีย่าคอยเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังเยอะ ประโยคหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยๆ จากคนเฒ่าคนแก่ คือ "ไม่อยากให้ลูกให้หลานทำอาชีพเต้นกินรำกิน" ความคิดของผมในช่วงวัยนั้น ก็คือ เป็นความคิดที่ล้าสมัยจัง อาชีพนี้รวยจะตาย สบายจะตาย มีเงินมีทองให้ใช้มากกมาย และความคิดนี้คงไม่ใช่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับผมคนเดียว ความคิดนี้น่าจะเกิดขึ้นกับหลายๆ คน และถ่ายทอดกันต่อๆ มาจนปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นรายการปลุกปั้นดารา นักร้อง เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในโทรทัศน์ โรงเรียนสอนการแสดงที่เรียงรายกันอยู่ในห้าง หนังสือเกี่ยวกับดารา นักร้อง วงการบันเทิงที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (ที่อ่านแล้วก็ยังหาประโยชน์ไม่เจอ เพราะมีแต่เรื่องของคนอื่น)
ผมเพิ่งมาเข้าใจคำสอนของคนโบร่ำโบราณในภายหลัง เข้าใจว่าคำสอนนี้คงมีมาแต่ช้านานแล้ว และแนบแน่นใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง คนโบร่ำโบราณคงเข้าวัดฟังเทศฟังธรรมกันบ่อย จึงทราบว่าอาชีพที่ว่า "เต้นกิน รำกิน" นี้มันเป็นการสร้างบาปให้ตัวเอง พูดง่ายๆ แบบคนโบราณคือ ตายไปตกนรก ท่านคงเป็นห่วงลูกห่วงหลานจึงห้ามปรามไว้ คนรุ่นต่อๆมา อาจแค่รู้ว่าไม่ดีแต่ไม่รู้เหตุผล จึงบอกแค่ว่ามันไม่ดี แล้วไม่ดีอย่างไร ผมจึงไปค้นหาคำตอบว่าจริงหรือไม่ จนไปอ่านเจอในพระไตรปิฏก(http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=18&A=7768&Z=7822) เรียกว่า ตาลปุตตสูตร
เนื้อหาแบบย่อๆ ก็คือ พ่อบ้านนักเต้นรำชือว่า ตาลบุตร ไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า "นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง" หมายความว่าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่ พระพุทธองค์ทรงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ แต่ ตาลบุตร ก็ทูลถามซ้ำอยู่ ๓ ครั้ง พระพทธองค์จึงทรงตอบกับ ตาลบุตร สรุปได้ว่า อาชีพดังกล่าวทำให้คนเกิด ราคะ โทสะ และโมหะ แก่สรรพสัตว์ให้มากขึ้น เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ (รายละเอียดอ่านตามที่ Link ครับ)
เป็นยังไงบ้างล่ะครับ ที่ว่าคนโบร่ำโบราณ คนเฒ่าคนแก่ เชย ไม่ทันสมัย แล้วคนสมัยใหม่นี้ล่ะครับพร้อมจะเดินทางไปนรกกันแล้วหรือยัง
หมายเหตุ ผมไม่ได้มีภูมิธรรมอะไร แต่ชอบอ่าน สงสัย และพยายามหาคำตอบมาแบ่งปันกันเท่านั้นครับ
ขอบคุณครับ
กับความรู้ใหม่ที่ได้รับครับ