"นา" ที่(ต้อง)เปลี่ยนไป
++++++++++++++++++++
เดิม...... ชาวนาฝากชีวิตและอนาคตของคนทั้งครอบครัวไว้กับ "นา" ได้
แต่ปัจจุบัน....... ไม่ได้!
เพราะเดิม.... เราทำนาจะไม่ได้แค่ "ข้าว"
แต่เราจะได้ "กับข้าว" และ "สินค้า" จากนามากมายหลากหลายชนิดด้วย
กบ... เขียด... ปู.... ปลา...กุ้ง.... หอย... พืชผัก....ฯลฯ.... โฮะ!.... จิปาถะ
กินได้ แบ่งปันได้ และขายได้เท่าที่พอสมควร
แต่ปัจจุบัน.... หายากเต็มที หรือหากมีอยู่บ้าง ก็มักไม่ใคร่มีใครใส่ใจหา
(และส่งเสริมให้เพิ่มทวีจำนวนมากขึ้น)
เพราะเด็กๆลูกชาวนารุ่นใหม่ (และชาวนาผู้ใหญ่ยุคเงินคือพระเจ้า)
ไม่เคยถ่ายทอดหรือได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์หรือทักษะชีวิตแบบนี้จากครอบครัว
รู้เพียงว่า... กับข้าว... ต้องซื้อ!... จึงจะได้กิน
ส่วน "นา" เอาไว้ใช้ประโยชน์เพียงปลูกข้าวเท้านั้น
นาจึงเงียบเหงาเปล่าร้างและเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปทุกวันๆ
...........
ใช่!.... เพราะเราต้องใช้ต้องจ่ายอะไรมากมายและแสนแพงในยุคนี้
"นา" จึงต้องเปลี่ยนไป
แต่เป็นการเปลี่ยนไปเพื่อให้ได้คุณประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
ต้องมีการปรับปรงเปลี่ยนแปลงให้รองรับกิจกรรมทางการเกษตรหลากหลายรูปแบบ
ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ พืชผัก สมุนไพร และไม้ยืนต้น
ซึ่งหากชาวนารายใดกล้าเปลี่ยนแปลงไร่นาพื้นๆ มาเป็น "ไร่นาสวนผสม"
หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ (อิงแนวพระราชดำริ)
"ธรรมชาติ"ผู้เก่งกาจ ก็พร้อมจะแถมอะไรต่อมิอะไรให้ฟรีอีกมากมาย
ดังตัวอย่างเกษตรกรรายหนึ่งในเขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
"นายเฉลียว จันครา"
เกษตรกรผู้กล้าเปลี่ยนแปลงนา ๒๗ ไร่ ให้กลายเป็นพื้นที่แทบไม่เหลือเค้าความเป็นนา
และเลิกทำนาโดยสิ้นเชิง เพราะคำนวณดูแล้วว่าได้ไม่คุ้มเหนื่อย
เพราะลงทุนสูง ความเสี่ยงมาก แถมยุ่งยากจนสุดฝืน และต้องพึ่งคนอื่นเป็นสำคัญ
,,,,,,,,,,,,,
เลิกทำนา แล้วหันมาเลี้ยงหมูแม่พันธุ์และหมูขุนเป็นหลัก
เสริมด้วยการเลี้ยงปลา(อิงธรรมชาติ) และปลุกต้นไม้หลายจุดประสงค์
ส่วนไก่ชน ไก่พื้นบ้าน และเป็ด เป็นของแถมที่ไม่ต้องลงทุน
เพราะปล่อยให้หากินเองในป่าและเศษอาหารจากการเลี้ยงหมู
ที่นาเดิมๆของท่านที่เคยทำนาเพียงปีละครั้ง
ก็กลับมีชีวิตชีวาและมีคุณค่าเชิงระบบนิเวศน์ขึ้นอย่างเป็นมรรคเป็นผล
ที่สำคัญก็คือ... การที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงตลอดปี
เห็นได้ชัดจากลูกชายแสนดี ทำหน้าที่อยู่กับเหย้าเฝ้าอยู่กับคอกหมูไม่เคยห่าง
ทั้งๆที่ก็จบปริญญาตรีมาเหมือนใครหลายคน
แต่ไม่คิดที่จะเอาความรู้ไปรับจ้างใครเหมือนคนอื่น
(นัยว่าเพลินกับ "รายได้ที่ตัวเองกำหนดเองได้" เดือนละกว่า ๖-๗ หลัก)
นี่ไง!.... "นา" ที่เปลี่ยนไปอย่างมีคุณค่าของจริง....
,,,,,,,,,,
ปัจจุบัน
"นายุคใหม่" แห่งนี้ ได้กลายเป็น "ศูนย์เรียนรู้สำหรับเกษตรกร" ในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษไปแล้ว
และเกษตรผู้กล้าคนนี้ยังเพิ่มคุณค่าให้มากยิ่งๆขึ้นไปอีก
ด้วยการรวมกลุ่มพี่น้องเกษตรกว่า ๙๐ ราย
พึ่งตนเองทางด้านปัจจัยพื้นฐานการผลิตสำคัญ
นั่นคือการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดใช้ในกลุ่มกันเองอีกต่างหาก
หุ...ๆ...ๆ... เห็นไหมครับว่า
มีคุณค่าทั้ง "นา" ทั้ง "คน" เลย
แบบนี้...... มหาวิชชาลัยธรรมชาติของทุกท่าน...
จึงขอบันทึกคุณงามความดีของท่านไว้
เพื่อเป็นเกียรติและแบบอย่างสำหรับพี่น้องเกษตรกรแลผู้สนใจทั่วไป
ณ บันทึกนี้.... ด้วยขอรับ
++++++++
มาชื่นชม เกษตรกรยุคใหม่ ของมหาวิชชาลัย กับแนวทางปรัชญาพอเพียงด้วยจิตคารวะ น่าภาคภูมิใจมากๆ ค่ะคุณครูวุฒิ ส่งกำลังใจให้พี่น้องศรีสะเกษ ด้วยระลึกถึงค่ะ ;)
...สวัสดี..ค่ะคุณครูวุฒิ..ด้วยความระลึกถึง..จากยายธีเจ้าค่ะ...กลับเมืองไทยจะแวะไปเยี่ยมอีกค่ะ..แต่ครวนี้คงต้องฉายเดี่ยว..ยายธีกำลังต้องมรสุมชีวิตอยู่ค่ะ..หากผ่านไปด้วยดีคงจะมีโอกาศพบกันอีก..คิดถึงทุกๆคน.ในรั้วมหาวิชชาลัย..เจ้าค่ะ..ยายธี
สวัสดีครับน้องครูปู
ต้องขอบพระคุณคุณครูวุฒิ อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพี่น้องศรีสะเกษ ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญ สำหรับความสำเร็จครั้งนี้ด้วยจิตคารวะค่ะ
แน่นอนค่ะ ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนศรีสะเกษ ลืมบอกว่า แอบลุ้น แอบเชียร์ ยินดี และดีใจ กับทีมกูปรี ศรีสะเกษ เยี่ยมจริงๆ ค่ะ ;)
น้อมคารวะงามๆสัก ๓ หนครับคุณยายธี