สุกไม่สุกลองชิมมั้ยล่ะ?


กฏคือ เย็นไปขึ้นเช้าจะลง กลางคืนจะไม่ลงจากห้างเด็ดขาด และห้ามไม่ให้คนในหมู่บ้านไปบริเวณนั้นเด็ดขาด เพราะอาจถูกยิงตายได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าคนหรือสัตว์ และคนที่มีเมียท้องแก่ห้ามไปนั่งห้าง

สุกไม่สุกลองชิมมั้ยล่ะ? 

ญาติทางพ่อที่มีถิ่นฐานบ้านอยู่แถวเขตอำเภอหล่มสัก เพชรบูรณ์ ที่นานๆ ทีจะเดินทางไปมาหาสู่ หรือเยี่ยมยามกันสักครั้ง บางทีก็ อาไปหาบ้าง ที่นานๆ ไปหากันทีไม่ไช่ไม่ถูกกัน แต่มันไกล และก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ชื่อหมู่บ้านซับอะไรสักอย่างนี่แหละผมจำไม่ค่อยได้ ตอนนี้ถามพ่อ พ่อก็จำไม่ได้ไปแล้ว เพราะคนที่เคยไปมาหาสู่กันก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว

มีอยู่ก็แต่รุ่นหลังๆ ไม่รู้จักกันไปแล้ว บางทีถึงจะเป็นนามสกุลเดียวกันก็ซักญาติกันไม่รู้แล้วเช่นกัน

เรื่องแบบนี้เคยมี คนเล่าให้ฟังว่า หนุ่มสาวไปเจอกัน ที่ต่างจังหวัด เพราะต่างคนต่างไปทำงาน คนละนามสกุลกัน แล้วก็ชอบพอกันจนสุดท้ายเป็นผัวเมียกันในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปทการสู่ของผลปรากฏว่าพอ พ่อแม่ของสองผัวเมียเจอกันเท่านั้นแหละครับ พูดอะไรกันไม่ออกเลย เพราะความห่างเหิน ทำให้ญาติพี่น้องรุ่นต่อมาไม่รู้จักกัน จนต้องเป็นผัวเมียกัน ลำดับญาติกันไม่ถูกเลย เพราะบางทีพ่อผัวกับแม่ยาย หรือ พ่อตากับแม่ผัวนามสกุลเดียวกันนะซิ เป็นพี่น้องคลานตามกันมาแต่อยู่ไกลกัน รุ่นลูกเลยไม่รู้จักกัน

ก็เลย แนบแน่นซะ ในที่สุด จะโทษใครได้

อาชีพหนึ่งของญาติที่พ่อบอกคือการหาของป่า และล่าสัตว์

ไม่ว่าจะเป็นหลุมพราง แร้ว ขวาก บ่วง หรือนั่งห้างรอยิงด้วยลูกซอง

โดยเฉพาะกฏของการนั่งห้างจะขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ที่สามารถมองเห็นในตำแหน่งที่สัตว์จะมาได้อย่างชัดเจน เช่นสัตว์ลงกินน้ำ หรือสัตว์มากินดินโป่ง

ดินโป่งคือดินเค็มที่มีอยู่เฉพาะบางที่ในป่า จะเป็นแหล่งรวมของสัตว์หลากหลายชนิด เช่น เก้ง กวาง ละมั่ง ละอง หมูป่า หมาป่า เป็นต้น

ห้างที่ขึ้นไปนั่งจะเป็นการนำเอาไม้ไปตอกไปขัด สาน จนเป็นพื้นที่สามารถนั่ง เดินได้พอประมาณ บนคบไม้ใหญ่

กฏคือ เย็นไปขึ้นเช้าจะลง กลางคืนจะไม่ลงจากห้างเด็ดขาด และห้ามไม่ให้คนในหมู่บ้านไปบริเวณนั้นเด็ดขาด เพราะอาจถูกยิงตายได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าคนหรือสัตว์ และคนที่มีเมียท้องแก่ห้ามไปนั่งห้าง

เคยมีหนุ่มคนหนึ่งที่เมียสาวท้องแก่ใกล้คลอดไปนั่งห้าง ปรากฏว่าประมาณตีสองมีคนในหมู่บ้านไปเรียกให้กลับบ้านบอกว่าเมียปวดท้องจะคลอดลูก พอลงมาจากห้างก็ถูกเสือสมิงกัดตาย เขาจึงห้ามลงจากห้างถ้าตะวันยังไม่ขึ้น

และใกล้ๆ ต้นไม้ (ไม่ใช่โคนต้นนะ) ก็จะก่อไฟไว้ด้วยขอนไม้ที่จะทำให้ไฟมันติดได้ทั้งคืนเพื่อกันสัตว์ที่จะขึ้นมาบนต้นไม้นั่นเอง

ก็มีเรื่องเล่ามาว่า

คืนนั้นฝนตกพรำๆ ตั้งแต่สี่ทุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่ก็ยังดีเพราะมันไม่ตกแรงไม่งั้นหนาวตายแน่ เพราะบนห้างก่อไฟผิงไม่ได้นั่นเอง

สักประมาณ ตีสามเห็นจะได้

มีกลุ่มของสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่ง เดินมาที่กองไฟ มีลักษณะคลายคนตัวเล็กๆ ไม่นุ่งผ้า ตีนโตขาลีบ พุงป่อง ซึ่งคนแถวนั้นเขาเรียก “ผีกองกอย” มันมานั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ

สงสัยจะหนาว

หรือไม่ก็จะมาเล่นรอบกองไฟมั้ง

คิดไปต่างๆ นานา

แล้วมันก็จับเอาเขียดออกมาจากอีกมือหนึ่ง เอามาอังไปที่กอง

จับขาหลังเขียด แล้วชูเข้าไปที่กองไปประมาณอึดใจ และก็พลิกอีกด้านหนึ่ง เข้าหาไฟ ประมาณอึดใจเหมือนกันแล้วก็เอาเข้าปาก

ทำอยู่อย่างนี้

ตัวแล้วตัวเล่า

มันคงไปหาจับเขียดมามากพอดู

แต่เอ..... มันทำอย่างนั้น มันจะทันสุกมั้ยเนี๊ยะ

นั่งดูอยูแล้วก็คิดในใจอย่างนั้น

ฉับพลันทันที ที่ความคิดสิ้นสุดลง

มันก็หันมองมาที่ห้างบนคบไม้ แล้วชูเขียดมาแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“สุกมั้ยสุก มึงลองกินดูมั้ยเล่า”

แล้วมันก็ลุกขึ้นกันทั้งหมดแล้วเดินหายเข้าไปในความมืด

คืนนั้นเลยไม่ได้สัตว์สักตัวเพราะมันคงกลัวไอ้เจ้าผีกองกอยฝูงนี้แน่นอน

จนรุ่งเช้าก็ลงจากห้างกลับบ้านโดยไม่ได้สัตว์ติดมือกลับไปเลยนอกจาก ผักในป่านั้นเอง

 

 

sekpornsawan  boonpetch

หมายเลขบันทึก: 382043เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2010 16:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 23:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท