อ.ดร.วรกาญจน์
กฏหมาย,การศึกษา,บัญชี,ศาสนา อ.ดร.วรกาญจน์ สุขสดเขียว

น้ำพริกกระปิชวนทาน


น้ำพริกกระปิอร่อย ชวนทาน

น้ำพริกกะปิของไทย ทำไมถึงต้องบอกว่าเป็นของไทย ก็เพราะรับรองว่าในประเทศอื่นไม่มีแน่ครับ ผมเองได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องอาหารไทยมาจากคุณแม่ครับ ซึ่งคุณแม่ได้เล่าให้ฟังว่าท่านได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากแม่ครัวซึ่งได้ปรุงอาหารในวังมาครับ คุณแม่ได้รับการถ่ายทอดความรู้ในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นท่านยังเป็นเด็กอยู่ ท่านได้ไปอาศัยอยู่กับคุณตาของท่านที่กรุงเทพและคุณแม่ได้รับความเอ็นดูจากแม่ครัวในวังท่านนี้ ที่ผมกล่าวนำเรื่องนี้เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูแด่คุณแม่และผู้มีพระคุณที่ท่านได้กรุณาสอนวิชการทำอาหารไทย จนตกทอดมาถึงผมครับ และถือเป็นการไหว้พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่เมตตาต่อผม ซึ่งผมจะขอถ่ายทอดความรู้แก่ทุกท่านที่สนใจต่อไปครับ เมื่อผมได้ทำการไหว้พระคุณทุกท่านแล้ว วันนี้ผมขอถ่ายทอดเรื่องการทำน้ำพริกกระปิของไทยที่มีเสนห์กับทุกครอบครัวคนไทยเรานะครับ

การทำน้ำพริกกระปินะครับ ลำดับแรกเราต้องเลือกทรัพยากรมาปรุงแต่งให้อร่อยกันก่อนนะครับ

1.กะปิไทยอย่างดี ตามที่ท่านชอบ มีกระปิหลายแบบ ตาดำ ตาแดง (ตาเขียวตาเหลืองไม่มีนะครับ)

2.พริกขี้หนูสวนอย่างดี ดูที่ขนาดเล็ก เผ็ดหอมครับ ประมาณ 5-10 แล้วแต่ชอบเผ็ดมากหรือน้อย

3.กระเทียม เลือกปกเอาเฉพาะที่ขนาดเล็กหอมมาก ครับประมาณ 5-7 กลีบ(ไม่ใช่หัวนะครับ)

4.แมงดาหรือแมลงดา แล้วแต่จะเรียกกันนะครับ ล้างและเด็ดปีก ส่วนหัว ปลายขาที่คมเอาออกสะ 1-2 ตัว แล้วแต่ชอบ ก่อนซื้อต้องขอดมก่อนนะครับว่าหอมสะเด็ดจริง

5.น้ำตาลปีปอย่างดี ต้องดูสีว่าใหม่หรือเก่า ถ้าใหม่สีเหลืองสดครับ

6.มะเขือเหลือง ที่มาทำเมือด 1-2 ลูก ดูขนาดไม่ใหญ่นัก ล้างน้ำและปอกผิวสีเหลืองออกทิ้งไปนะครับ ใช้เฉพาะลูกครับ

7.น้ำอุ่นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ

8. มะนาวประมาณ 2 ลูก ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปนะครับ ล้างน้ำแล้วผ่าเอาเมล็ดออก บีบเอาเฉพาะน้ำมะนาวนะครับ

9.น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ หากเค็มมากก็ครึ่งช้อนโต๊ะพอครับ 

ลงมือได้แล้วครับ เริ่มจากโคลกกระเทียมให้ละเอียดพอสมควร ตามด้วยแมงดาและกระปิประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เมื่อโคลกเข้าด้วยกันแล้ว นำพริกขี้หนูโคลกใส่ไปพอสมควรอย่าให้ละเอียดมากนักเดียวจะเผ็ดไปครับ แล้วนำนำตายปีปใส่ไประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะ และเคล้าด้วยสาก เคล้าพอสมควรให้เข้ากัน ลองชิ้มดูว่ารสชาดเป็นอย่างไรในขั้นต้นก่อน และตักใส่ถ้วยก่อน จากนั้น ใส่น้ำอุ่นและนำปลาที่เตรียมไว้ หากกระปิเค็มแล้วใส่น้ำปลาน้อยหน่อยมตามสมควร นำน้ำที่ล้างครก ผู้ใหญ่เขาเรียกอย่างนั้นมาปรุงแต่ในนำพริกที่ใส่ถ้วยไว้ในตอนแรก ใช้ช้อนเคล้าและปรุงชาดตามใจชอบอกีครั้งนะครับ

เป็นอันสำเร้จเสร็จสิ้นน้ำพริกกระปิของไทยที่อร่อยนะครับ หากท่านอยากถามข้อมูลเพิ่มกรุณาติดต่อที่เบอร์โทร 081 8569139 ได้ครับ

 

 

       
หมายเลขบันทึก: 380799เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม 2010 16:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 15:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

แกงส้มแก้ไข้หวัดครับ แกงส้มเป็นอาหารไทยยอดนิยมอีกจานหนึ่ง ที่คนไทยรุ่นก่อน ๆ ทานเพื่อแก้ไข้หัวลม หรือไข้หวัดครับ โดยเฉพาะช่วงนี้มีฝนตกชุก เรามาทานแกงส้มกันดีกว่านะครับ แกงส้มนี้บางท่านบอกว่า ง่าย เรื่องกล้วย ๆ แต่ท่านเชื่อไหมครับว่า คนที่จะแกงส้มอร่อยนั้นหายากครับ คนที่ทำอาหารเป็นจะรู้ว่า ไม่กล้วยตามที่หลายท่านพูดกัน ลองมาทานแกงส้มตามสูตรเก่ากันนะครับ เดี๊ยวนี้เขาชอบอ้างว่าเก่ากันไว้ก่อน แต่จะเก่าและแก่จริง ต้องพิสูจน์ด้วยฝีมือครับ เริ่มลงมือกันดีกว่านะครับ

การเตรียมแกงส้ม เราต้องมาใคร่ครวญว่าอยากทานแกงส้ม ปลาช่อน หรือ กุ้ง ครับ สำหรับผักที่จะใช้สำหรับแก้ไข้หัวลมนั้น สมัยก่อนเขาแกงส้มดอกแคครับ ขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายครับ 1. ปลาช้อนนา(หายากก็ต้องแล้วแต่แม่ค้าครับ) 1 ก.ก. หรือกุ้งแชบ้วย 1 ก.ก.(อาจเป็นกุ้งอะไรก็ได้ยกเว้นกุ้งแห้งนะครับ) 2. ดอกแคประมาณ ครึ่งกิโลพอครับ แกะเกษรที่เป็นเส้น ๆ ออกครับ และล้างให้สะอาด 3. กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ 4. หัวหอมประมาณ 12 หัว กระเทียม 3 หัว ปอกแล้วล้างน้ำให้สะอาด 5. พริกชีฟ้าแห้งประมาณ 10 เม็ด ตัดครึ่งแล้วแช่น้ำไว้ก่อนประมาณ 10 นาทีให้เปื่อยพอสมควร 6. พริกขี่หนูสวนประมาณ 100 เม็ด 7. มะขามเปียกประมาณ 1 มัดเล็ก ตามที่แม่ค้าขาย แล้วนำมาแช่น้ำสะอาด แล้วคั้นให้ได้น้ำมะขามเปียกประมาณ 7-8 ช้อนโต๊ะ 8. น้ำตาลปีบประมาณ 5-7 ช้อนโต๊ะ แล้วแต่ว่าชอบหวานมากหรือน้อย 9. น้ำปลาอย่างดี

ลงมือปฏิบัติการกันเลยนะครับ ล้างปลาหรือกุ้งให้สะอาด หากเป็นปลาช่อนให้หั่นเป็นแว่น ๆ ขนาดกำลังทาน แบ่งช่วงหางปลาไว้ต้มเป็นเมือดประมาณ 1 ใน 3 ของตัวปลา นำช่วงหางปลาดังกล่าวไปต้มในน้ำเดือด ที่ตั้งไฟไว้ เมื่อหางปลาที่ต้มไว้ประมาณ 10-15 นาที ดูว่านิ่มพอแกะเนื้อปลาออกมาได้ อย่าให้ติดกางปลามานะครับ แกะแล้วนำเนื้อที่ได้มาเตรียมเพื่อโคลกในเครื่องแกง หากเป็นกุ้งไม่ต้องต้มน้ำเดือดครับ เพียงแต่แกะเปลือกกุ้งออกและผ่าหลังและแกะเส้นดำ ๆ หลังกุ้งให้สวยงาม และแบ่งกุ้งมาสัก 4-5 ตัว เพื่อโคลกกับเครื่องแกง

ต่อมาการทำเครื่องแกงนะครับ นำกระปิที่เตรียมไว้มาโคลกกับหัวหอมและกระเทียม พริกชี้ฟ้าแห้ง พริกขี้หนู โคลกให้ละเอียดพอสมควร หรือหากท่านใช้มุลิเน๊ต(เครื่องปั่น) ก็ปั่นของทุกอย่างรวมกัน แต่ต้องใส่น้ำสะอาดพอท้วมของที่ใส่ลงไป พร้อมเนื้อปลา หรือกุ้งที่แกะไว้(ที่เตรียมเป็นเฉพาะเมือดนะครับ) เมื่อปั่นเครื่องแกงได้ละเอียดพอสมควรแล้วนำไปใส่หม้อแกง หม้อเบอร์ประมาณ 38 พอนะครับ ใส่น้ำสะอาดเติมพอประมาให้ได้สัก 3 ใน 4 ของหม้อ(รวมเครื่องแกงแล้ว) ตั้งไฟพอเดือดแล้วใส่นำมะขามเปียก น้ำตาลปีบ และน้ำปลาที่เตรียมไว้ ให้ได้รสชาดออกสามรส เปรี้ยวหวานเค็ม ตามที่ท่านชอบ ใส่เนื้อปลาที่หั่นเป็นแว่น ๆ ลงไป ดูให้สุกพอสมควร ตามด้วยดอกแค เสร็จสมอารมณ์หมายครับ ก็จะได้ แกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลมตามที่ชอบ อ้ออย่าลืมทอดไข่เจียวทานเป็นเครื่องเคียงด้วยนะครับ รับรองว่าทานกับข้าวร้อน ๆ แก้ไข้หวัดดีนักแลครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท