นักจิตวิทยาในอดีตบางกลุ่มที่มุ่งสนใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิต มีความต้องการที่จะรู้ว่า ความเข้มของสิ่งเร้าระดับตำที่สุดที่ทำให้คนเริ่มมีความรู้สึกสัมผัสต่อสิ่งเร้านั้น มีความเข้มเท่าไร และเรียกระดับความเข้มที่ตำที่สุดของสิ่งเร้าที่ทำให้คนเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรมาสัมผัสนี้ว่า เทร็ชโฮลด์ เช่น เราจะต้องใส่นำตาลลงไปในแก้วที่มีนำอยู่ครึ่งแก้วปริมาณอย่างตำที่สุดเท่าไร จึงจะทำให้คนรู้สึกว่านำนั้นหวาน เราจะต้องเพิ่มอุณหภูมิเข้าไปในนำนั้นอย่างตำที่สุดเท่าไรที่ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่านำนั้นอุ่น ฯลฯ และผลการทดลองเป็นดังนี้
การเริ่มรู้สึกหวาน เมื่อเอานำตาล ๑ ช้อนชา ผสมกับน้ำ ๗.๕ ลิตร
การเริ่มรู้สึกได้กลิ่นเมื่อใช้น้ำหอม ๑ หยด ภายในบ้านขนาด ๖ ห้อง
ฯลฯ
ขอให้สังเกตว่า ในขณะนั้น ผู้สัมผัสอยู่ในภาวรู้สึกตัว คือมีความรู้สึก(Conscious)อยู่ก่อนแล้ว เพราะเขาตื่นอยู่ การรู้สึกหวาน หรือการได้กลิ่นหอม จึงเป็นการรู้สึกสัมผัส
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ นักจิตวิทยาดังกล่าว ไม่ได้ศึกษาว่า ความรู้สึกเกิดขึ้นได้อย่างไร? บุคคลมีความรู้สึกเพราะว่าเทวดาได้ประทานความรู้สึกให้มาแล้วพร้อมกับการเกิด? หรือว่ามีอยู่แล้วใน Genes ? หรือว่าเกิดขึ้นใหม่จากกิจกรรมของนิวโรน?
ความรู้สึก(Conscious) เป็นพฤติกรรมภายใน เช่นความรู้สึกคิด ความรู้สึกเจ็บ เราสังเกตโดยตรงไม่ได้ เป็นเรื่องส่วนตัว ใครมาเห็นเรารู้สึกเจ็บไม่ได้ ตรงข้ามกับพฤติกรรมภายนอก เช่นการเดิน การพูด ที่เราสังเกตได้โดยตรง ใครๆก็เห็นได้
พฤติกรรมภายในที่คุณชายขอบกล่าวนั้น สามารถจะกระตุ้นได้จากสิ่งเร้าภายนอก และสิ่งเร้าภายใน การรู้สึกสังหรณ์ใจดังกล่าว เป็นความคิดอย่างหนึ่ง ที่หาต้นตอของสิ่งเร้าได้ยาก และเราตั้งชื่อมันว่า การสังหรณ์ใจ เป็นมโนทัศน์
ถ้าอธิบายเชิงวัตถุ ก็อาจอธิบายได้ว่า ในขณะนั้นกลุมเซลล์ที่ชื่อนิวโรนในบริเวณของเซเรบรัลคอร์เท็กซ์บางแห่งเกิดแสดงกิจกรรมขึ้นมา ทำให้เกิดความรู้สึกคิด เราเรียกว่าการสังหรณ์ใจ เป็นต้น
ที่ว่าเกิดอะไร อย่างไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ นั้น เราพิจารณาที่กระบวนการ ที่เริ่มต้นจากการสังเกต เกิดปัญหา ตั้งสมมุติฐาน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และได้ความรู้ ซึ่งเราเรียกว่ากระบวนการวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญก็คือ ขั้นที่หนึ่ง คือการสังเกต สิ่งนั้นจะต้องสังเกตได้ จะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม ถ้าสังเกตไม่ได้ ก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เพราะชาววืทยาศาสตร์เขายอมรับเฉพาะสิ่งที่สังเกตได้ หรืออย่างน้อยมีความเป็นไปได้ที่จะสังเกต ใครที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ คิดอย่างนี้เป็นนิสสัย ก็เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ สิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ที่จะสังเกตแล้ว สิ่งนั้นอยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ เราใช้เกณฑ์นี้ในการพิจารณาว่าอะไรจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่
เราพยายามที่จะนำวิธีการวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาจิต แต่จิตนั้น เราสังเกตโดยตรงไม่ได้ จึงเกิดปัญหาดังกล่าว ดังนั้น เราจึงใช้พฤติกรรมภายนอกที่สังเกตได้มาเป็นข้อมูลในการศึกษาจิต จึงเข้ากันได้กับกระบวนการขั้นที่หนึ่งดังกล่าว ทำให้เรานำวิธีการวิยาศาสตร์มาใช้ค้นหาความรู้ในสาขาจิตวิทยา ทำให้ได้ความรู้ในสาขานี้มากมาย
แต่ยังมีปัญหาที่จะต้องแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมภายนอกนั้นคือสิ่งเดียวกันกับพฤติกรรมภายใน เช่น การร้องโอย คือสิ่งเดียวกันกับการรู้สึกเจ็บ!!
เห็นด้วยครับที่เราต้องขอบคุณทีมงาน GotoKnow.Org และ สคส. ซึ่งทำให้เกิดเวทีนี้ขึ้นครับ โดยเฉพาะที่ผมชอบมาก ๆ คือ ผมรับรู้ว่าความต่างของระดับการศึกษาเพื่อการ ลปรร.กัน แทบไม่มีเหลืออยู่เลย ทุกคนล้วนแลกกันได้อย่างอิสระและเป็นกันเองมากในเวทีแห่งนี้
เป็นคุณค่าของคำว่า เสรีภาพ ที่ใครๆไผ่หา
ไปเยี่ยมมาแล้วครับ ขอบคุณที่แนะนำ ช่วงนี้ติดรายการรับเชิญครับ