เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับดิฉันสมัยเด็ก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ
ตอนนั้นดิฉันอายุประมาณ 9-10 ปี เล่นอะไรแบบเด็กๆ วันหนึ่งดิฉันได้นำคางคก 3-4 ตัวลงไปในชะโครกแล้วราดน้ำลงไป
เคราะห์กรรมของเจ้าคางคกนั้นก็คงจะ ซี้แหงแก๋ เพราะมันจะหาทางออกไม่ได้และก็ต้องจมลงไปกับสิ่งปฏิกูลที่อยู่ในนั้น
จากนั้นมา5-6 ปี ผลกรรมที่ดิฉันได้ทำกับเจ้าคางคกพวกนั้น ทำให้ดิฉันฝันร้ายอยู่ตลอดทุกคืน ฝันว่าดิฉันจมน้ำ น้ำสีดำ สีเขียว และต้องร้องไห้ทุกครั้งไปที่ฝันถึง
เหตุการณ์นี้เป็นผลทำให้ดิฉันไม่กล้าลงเล่นน้ำ เพราะเดิมทีก็ว่ายน้ำไม่เป็นอยู่แล้ว และยังมามีเหตุการณ์ในฝันแบบนี้มาตอกย้ำอีกทำให้ไม่กล้าลงไปเล่นน้ำเลย
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดิฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้กับหลวงพ่อที่วัดใกล้บ้าน ตอนที่ไปถวายเพล และเล่าให้หลวงพ่อท่านฟัง หลวงพ่อบอกกับดรีมว่าให้ดรีมทำบุญแผ่ส่วนบุญ และอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าคางคก และกรวดน้ำทุกครั้งก็นึกถึงเจ้าคางคกพวกนั้นด้วย(แผ่เมตตาจิต)
หลังจากที่ได้ฟังหลวงพ่อแนะนำแล้ว ดิฉันก็นำไปปฏิบัติตาม โดยการแผ่เมตตาจิต เป็นประจำ จนตอนนี้ดิฉันไม่นอนฝันร้าย และฝันถึงเหตุการณ์นั้นอีกต่อไป
จากที่ดิฉันได้เล่ามา มันเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับดิฉันเอง ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ถ้าอาจารย์หรือผู้อ่านท่านใดมีเหตุการณ์คล้ายๆกับดิฉันก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากๆคะ นาย ขจิต ฝอยทอง
รีบเล่าจนลืมตรวจ ก่อนที่ตีพิมพ์ อิอิ
และขอบคุณนะคะที่ยังติดตามอ่านอยู่มิขาดหายเลย
เวลาที่คนเราไม่สบายใจก็พยายามหาทางแก้ทุกข์ในใจนั้น สุดท้ายก็จะมาจบกันที่วัดเป็นส่วนใหญ่ เพราะวัดเป็นสถานที่อันสงบของพุทธศาสนิกชนชาวพุทธ แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าวัดเท่าไหร่ ถ้าให้ไปวัดคนเดียวเพื่อไปทำบุญนะค่ะ จะต้องคิดแล้วคิดอีกว่าเวลาไปแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ...เรียกง่าย ๆ ว่า เข้าวัดเข้าวา เข้าหาพระเข้าหาเจ้า (อาวาส) ไม่เป็น.... จนหลาย ๆ คนบอกกับเราว่า เคยเข้าวัดบ้างหรือเปล่าเนี่ย 555 ถ้าเป็นเรื่องแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยล่วงเกิน หรือแผ่เมตตาให้สรรพสิ่งต่าง ๆ นั้น เป็นคำสวดจะนึกไม่ออกหรอกค่ะน้องดรีม แต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตนั้นทำค่ะ ...นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าเราล่วงเกินอะไรใครไปบ้าง แล้ว ขออโหสิกรรมได้หรือเปล่า แล้วก็ทำบุญตักบาตรในวันสำคัญ ๆ ค่ะ เรียกว่าส่งกระแสจิตการกระทำดีของเราในครั้งนี้เผื่อจะได้ช่วยให้เจ้ากรรมนายเวรยกโทษ หรือได้รับส่วนบุญที่เราทำครั้งนี้ด้วย เวลากลับบ้านแม่และพี่สาวจะชวนไปวัดและจะมีการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็นึกว่าทุกทีก็จะให้บุญกุศลนั้นส่งผลให้ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ตายไปแล้วได้รับส่วนบุญนั้น แต่เวลาที่กรวดน้ำ น้ำในขวดมันเยอะเราก็นึกในใจว่าคงจะสามารถอุทิศให้ได้หลาย ๆ คนแน่เลย ก็จะนึกถึงผีที่ไม่มีญาติไม่มีใครเคยส่งบุญกุศลให้เขาเลย คือพยายามนึกถึงจำนวนคนให้ได้เยอะที่สุดเท่ากับเวลาที่น้ำในขวดจะหมดลง (ไม่รู้จะโลภเกินไปหรือเปล่านะเนี่ย) แต่ก็รู้สึกดีค่ะ จริง ๆ แล้วคนเราไม่จำเป็นว่าเข้าวัดแล้วถึงจะได้บุญ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์แวดล้อมอย่างไร ขอให้ใจและจิตสงบ แล้วทำดีกับตัวเองและคนรอบข้าง บุญกุศลก็จะแผ่กระจายให้กับทุกคนที่เรานึกถึงค่ะ
การแผ่เมตตา |
ความหมายและคุณค่า เมตตา หมายถึงความรัก ความปรารถนาดี ต้องการให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปโดยปราศจาก ความอิจฉาริษยา และหมายถึงความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตร ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงได้แก่การส่ง กระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่นทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์ และสัตว์ด้วยความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข ได้รับความสมหวังในชีวิต เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่โบราณบัณฑิตทั้งหลายปฏิบัติต่อกันมาตามลำดับ เพราะเห็นประโยชน์ว่า การแผ่ เมตตานี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นประจำมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็นลงได้ และทำให้มองเห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้นเป็นทางนำให้โลกเกิดสันติสุขได้ และเมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องการให้เพื่อนร่วมโลกได้รับความสุขอย่างนั้นบ้าง จึงได้แผ่กระแสจิตอันเยือกเย็นและอ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น ผู้ได้รับเมตตาจิตนั้นแล้วก็จะพลอยมีจิตอ่อนโยน เยือกเย็น และได้พบกับความสุขทางใจไปด้วย ด้วยเหตุแห่งการแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ จึงทำให้มนุษย์และสัตว์อยู่กันด้วยความมีน้ำใจดีต่อกัน รักใคร่กันฉันพี่น้อง และหันหน้าเข้าหากันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้อยู่กันด้วยความอบอุ่นไว้วางใจกัน ปราศจากความระแวกันและกัน เป็นเหตุให้ไม่เบียดเบียนกัน แต่จะอุดหนุนเกื้อกูลกันและกันด้วยน้ำใสใจจริง วิธีการแผ่เมตตา ท่านสอนว่า การแผ่เมตตานั้นควรแผ่ให้ตนเองก่อน คือต้องปรารถนาความสุขให้แก่ตัวเองเสียก่อนโดยวิธี สร้างความรักตัวเองในทางที่ถูกที่ควร คือไม่ทรมานตัวเองด้วยการกระทำ ด้วยความคิดที่ผิด ๆ ทำตัวเองให้มีอำนาจ ทางจิตด้วยความดีเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายวงเมตตาออกไปยังผู้อื่น สัตว์อื่น ตามลำดับ แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ตนไม่ชอบหรือเป็นศัตรูกันก็ตาม เพราะถ้าหากสามารถแผ่เมตตาไปให้แก่ผู้ไม่ถูกกันได้ นั่นแสดงว่าผู้นั้นได้ยกระดับจิตให้พ้นจากอำนาจความโกรธเคืองหรือความอิจฉาริษยาได้แล้วด้วยเมตตา เพราะเมตตานี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสคือ โกธะ ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้าย อรติ ความไม่ชอบใจด้วยอำนาจของความอิจฉาริษยาเสียได้ ต่อไปตัวเองก็จะประสบความสุขความสงบทางใจ ไม่มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีความกระวนกระวายใจอะไรต่อไปอีก เพราะปล่อยวางความโกรธความไม่พอใจเสียได้แล้ว ซึ่งผิดกับตอนที่ยังโกรธอยู่ ยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ในตอนนั้นจิตใจจะมีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มอก กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันกินอันนอนอย่างเห็นได้ชัด วิธีที่ท่านสอนมา ท่านให้แผ่เมตตาทุกวัน อย่างน้อยก็ก่อนนอนทุกคืน ถ้าสามารถทำให้มากครั้งต่อวันได้ ก็ยิ่งจะเป็นกำไรชีวิต เช่น นึกแผ่เมตตาทุกอิริยาบถ ขณะเดินไปตามถนนหนทาง ขณะนั่งรถไปทำงาน ขณะเดินทางไปต่างจังหวัด หรือขณะนั่งพักผ่อน ณ ที่ใดที่หนึ่งหลังจากว่างงาน เพราะในขณะนั้นจิตใจจะปลอดโปร่งเหมาะที่จะนึกแผ่เมตตาอย่างยิ่ง และในขณะนั้นเท่ากับว่าได้ทำกรรมฐานไปในตัวด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้จัดเป็นกรรมฐาน ประการหนึ่ง ที่จะทำให้ใจสงบเย็นลงได้ และจะคอยควบคุมจิตใจให้นึกคิดไปในทางที่ถูกที่ควรได้รวดเร็ว ฉะนั้น แม้ว่าผู้แผ่เมตตาจะทำได้เพียงวันละเล็กวันละน้อย แต่ทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้ คำแผ่เมตตา ผู้ต้องการจะแผ่เมตตา ให้นึกถึงคำภาวนาต่อไปนี้แล้วนึกภาวนาไป ๆ จะกี่เที่ยวก็ตามต้องการยิ่งมากเที่ยว ก็จะยิ่งทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น ทำให้จิตมีอานุภาพมีพลังมากขึ้น แบบที่หนึ่ง คำแผ่เมตตาสำหรับตนเอง อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ คำแผ่เมตตาไปสู่ผู่อื่น สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ นิทฺทุกฺขา อเวรา อพฺยาปชฺฌา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ ฯ แบบที่สอง คำแผ่เมตตาแบบทั่วไป สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น การแผ่เมตตาทั้งสองแบบนี้ จะใช้เพียงแบบใดแบบหนึ่งตามถนัดก็ได้หรือจะนึกภาวนาเฉพาะภาษาไทยหรือภาษาบาลีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือทั้งสองอย่างก็ได้ ฯ อานิสงส์ของการแผ่เมตตา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีอังคุตตรนิกายว่า ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับ อานิสงส์ ๑๑ ประการ ดังนี้ ๑.หลับเป็นสุข คือ หลับสบาย หลับสนิท เพราะฉะนั้น ผู้ประสงค์เป็นที่รักเป็นที่นับถือของผู้อื่น หรือหวังความสุขความสงบความเยือกเย็นแห่งจิตใจ จึงควรได้แผ่เมตตากันดูเถิด สร้างเมตตาธรรมไว้ในใจดีกว่าจะมานั่งเดือดร้อนใจด้วยไฟโกรธไฟริษยาอาฆาต และดีกว่าจะมาเสียเวลาหานะหาเมตตามหานิยม นะหน้าทอง เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง เพราะวิธีปลูกต้นเมตตานี้ ไม่ทำให้หนักตัวเพราะพกพาไป ไม่ต้องกลัวหาย และไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เพราะมีติดตัวติตใจประจำอยู่ตลอดเวลา. |