004 งานวิจัยน้ำยาทา่ช่องคลอดป้องกันเชื้อ HIV สำหรับท่านผู้หญิง


กลุ่มที่ใช้เจลทาช่องคลอดซึ่งมีสารต่อต้านเชื้อ HIV มีโอกาสในการติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้เจลแต่ไม่มีสารต่อต้านเชื้อถึง 39 เปอร์เซ็นต์

่วันนี้นั่งอ่านนิตยสาร Science ได้ความรู้เพิ่มเติมที่อยากจะเอามาแบ่งปันครับ รายละเอียดทั้งเรื่องนั้นผมคงเขียนออกมาได้ไม่หมดแต่ถ้าใครสนใจก็ติดตามอ่านเรื่องเต็มได้ที่นี่นะครับ http://www.sciencemag.org/hottopics/hivprevention/index.dtl

สาระสำคัญที่ผมอยากจะแบ่งปัน ผมอ่านแล้วสรุปใจความสำคัญได้ว่า

มีการทดลองใช้สารที่เรียกว่า Tenofovir ซึ่งใช้สำหรับต่อการทำงานของไวรัสหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Antiretroviral Microbicide สารตัวนี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซต์ที่จำเป็นในการสังเคราะห์ RNA หรือเรียกว่า nucleotide reverse transcriptase inhibitor นั่นเอง

จากการทดลองใช้เจลที่มีสารต้านไวรัสชนิดนี้กับหญิงชาว South African นั้นพบว่าูกลุ่มที่ใช้เจลทาช่องคลอดซึ่งมีสารต่อต้านเชื้อ HIV มีโอกาสในการติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้เจลแต่ไม่มีสารต่อต้านเชื้อถึง 39 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลนี้ได้จาก 444 คนที่ได้รับ placebo gel หรือที่บ้านเราเรียกว่ายาหลอกนั้นอัตราการติดเชื้อของกลุ่มนี้มีำจำนวน 60 คน แต่ในขณะเดียวกันจาก 445 คนที่ได้รับเจลล์ที่มีสารต่อต้านเชื้ออยู่พบว่ามีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 38 คน ผลการทดลองมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญด้วยนะครับ โดยในระหว่างการทดลองได้มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงและปัจจัยหลาย ๆ อย่างเช่นกิจกรรมทางเพศของหญิงที่เข้าร่วมการทดลอง เรียกได้ว่างานนี้เป็นงานวิจัยที่มีคุณค่ามากทีเดียวสำหรับการหาวิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV ในสตรี

งานนี้ก็ต้องยกนิ้วให้กับเจ้าภาพบอลโลกปีที่ผ่านมากับสหรัฐอเมริกา ผู้ร่วมทำวิจัยครับ อย่างไรก็ตามเจลชนิดนี้ก็ยังต้องมีการวิัจัยเพิ่มเติมอีกเยอะครับ เพราะก็ยังมีคำถามตามมาเช่น ทำไมหญิงบางคนใช้เจลแล้วยังมีโอกาสติเชื้ออยู่ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับการใช้เจลชนิดนี้ (แม้ในรายงานเขาจะบอกว่าตรวจไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ) และปริมาณการใช้เจลก็ต้องได้รับการพิจารณาอีกด้วยครับ ทั้งนี้นักวิจัยกลุ่มนี้ก็ได้ต่อยอดงานวิจัยแล้วโดยใช้ชื่อโครงการวิัยว่า Vaginal and Oral Interventions to Control the Epidemic (VOICE), ทดสอบการใช้เจลเป็นประจำและการกินยาต่อต้านเชื้อ โดยงานทดลองนี้เริ่มมาแล้วเมื่อเดือนกันยาปีที่แล้วครับและเขาก็คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 5000 คนในเวลา 4 ปี

แปลอังกฤษเป็นไทยอาจจะยากซักหน่อยสำหรับผมเพราะศัพท์บางคำผมคิดไม่ออกเรียบเรียงไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ว่าจะใช้ภาษาไทยว่ายังไงดี ผมเลยสรุปเป็นภาษาง่าย ๆ แต่ถ้าใครไม่เข้าใจ อาจต้องให้คุณหมอบางท่านมาช่วยทำความเข้าใจ หรือติดตามอ่านกันเองได้นะครับ หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อยครับ

 

 

คำสำคัญ (Tags): #hiv aids
หมายเลขบันทึก: 379326เขียนเมื่อ 28 กรกฎาคม 2010 16:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 15:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท