ไฉน
นาย ประกาศิต ปอ ประกอบผล

สละพันธนาการสู่บรรพชา


โอ บ่วงเกิดแล้ว เครื่องพันธนาการเกิดแล้ว

       คนจำนวนมหาศาลในโลกนี้แต่งงานแล้วปรารถนาทายาทสืบเชื้อสาย ที่มีง่ายก็มากมาย ที่มียากต้องไปอ้อนวอนขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่ตนนับถือ หรือไม่ก็อาศัยความรู้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย และยินดีปรีดาเมื่อตนบรรลุเป้าหมาย  แต่วันที่เจ้าชายสิทธัตถ์กลับจากการประพาสนอกเมือง มหาดเล็กก็รีบมาทูลถวายรายงานว่า “พระมเหสีประสูติโอรสแล้ว”  พระองค์ถึงกับอุทานออกมาว่า “โอ บ่วงเกิดแล้ว เครื่องพันธนาการเกิดแล้ว” (ราหุลํ  ชาตํ  พนฺธนํ ชาตํ) และทรงดำริว่า “ต่อจากนี้ไปเราจะไปไหนมาไหนก็ลำบากมากขึ้นจะต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังจะไม่หลุดพ้นจากพวกเขาไปได้แล้วหรือนี่  แล้วนี่พวกเขาจะต้องมาคอยสืบต่อเชื้อสายแห่งความแก่ ความเจ็บ ความตาย โอไม่นะ เราจะต้องหาทางช่วยพวกเขา ทำอย่างไรดี” 

        และแล้วแสงแรกที่ว๊าบขึ้นเมื่อครั้งทอดพระเนตรเทวทูตที่สี่ก็เจิดจ้าแก่พระองค์  “บรรพชิต ๆ ๆ เราต้องหลีกห่างจากพวกเขาก่อนเพื่อแสวงหาหนทาง  ฉันนะ ฉันนะอยู่ไหน” ทรงหาฉันนะให้ ไปนำม้าทรงมา ในรัตติกาลนั้นพระองค์ก็เสด็จไปทอดพระเนตรพระชายาและโอรสโดยที่ทั้งสองมิได้รู้การมาและการไปของเจ้าชายเลย แม้อยากจะก้มลงไปจุ้มพิตโอรสน้อยสักครั้งก่อนจากก็กลัวว่าพระชายาจะตื่น ได้แต่หักห้ามพระหฤทัยไว้ แล้วเสด็จกลับออกมาจากห้องบรรทมของพระชายา พระองค์ทรงปลดเปลื้ยงเครื่องพันธนาการอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุด เพื่อหวังผลอันยิ่งใหญ่กว่า โดยการทรงม้ากัณฐกะกับนายฉันนะหนีออกนอกเมืองไป

         ทรงข้ามแม่น้ำอโนมาอันเป็นแม่น้ำกั้นเขตแดนระหว่างแคว้นสักกะกับแคว้นมัลละทรงตัดพระเมาลีและพระมัสสุทรงผ้ากาสาวพัสตร์แล้วตรัสสั่งนายฉันนะกลับแคว้นทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติทราบเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ ทรงพักปรับสภาพของพระองค์อยู่ที่อนุปิยะอัมพวันในเขตแคว้นมัลละนั้น ด้วยการอยู่กับธรรมชาติโคนต้นไม้ ไม่ใช่ปราสาทราชวัง ไม่มีอาหารอันประณีตเหมือนในพระราชวัง มีแต่อาหารของชาวบ้านตามมีตามได้ ไม่มีฉลองพระบาท ดำเนินด้วยเท้าเปล่ากับพื้นดินธรรมชาติที่ไม่คุ้นเคย เป็นเวลา ๗ วัน

         จากนั้นได้เสด็จไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้รู้หนทางแห่งความหลุดพ้น จนก้าวเข้าสู่เขตแคว้นมคธ ที่เป็นแคว้นใหญ่มีคณาจารย์มาก พระองค์เสด็จไปศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ๒ ท่าน คือ อาจารย์อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ทรงศึกษาจนสิ้นภูมิความรู้ของอาจารย์ทั้งสองท่านแล้ว เห็นว่ามิใช่จุดหมายที่พระองค์แสวงหาจึงอำลาจาก แม้จะได้รับการทัดทานจากอาจารย์ให้อยู่ต่อเพื่อเป็นอาจารย์สอนศิษย์อื่นต่อก็ตาม

หมายเลขบันทึก: 377489เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2010 16:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 20:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สาธุกับ...การสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วยการบรรพชาครับ

ขอบคุณครับ

ดีครับ ...คุณไฉง ...

ได้รู้ว่าคนจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่ได้ลงมาจากสวรรค์วิมานไหน แต่มาจากท้องมารดาเหมือนคนธรรดาทั่วไปที่กินข้าวเดินได้เหมือนกับทุกคน แม้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่สิ่งที่มีเหนือกว่าคนธรรมดา คือพระพอได้ทราบข่าวว่ามีลูกแทนที่จะกระโดดโห่ร้องด้วยความดีใจที่จะได้เป็นพ่อใหม่เหมือนคนไม่เคยได้เป็นพ่อ แต่กลับคิดไปในทางเป็นวิตกกังวล หรือ ห่วงสถานะทางสังคมของพระองค์ กลัวว่าจะไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน จนมองเห็นไปว่าเป็นทุกข์ ซึ่งส่วนทางกับคนทั่วไปอย่างแรง บางทีก็อาจทำให้คิดไปว่าพระองค์เห็นแก่ตัวเองมากเกินไป ห่วงแต่เรื่องของตนเอง แต่ความจริงพระองค์กำลังมองว่าการมีลูกนำมาซึ่งความยุ่งยากในทางแห่งนิพพาน หรือ ไปสู่หนทางแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ได้ยาก เพราะในขณะนั่น พระองค์กำลังครุ่นคิดอยู่กับนายฉันนะถึงเรื่องที่ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับเรื่องในทำนองนี้มาก่อน จึงทำให้พระองค์มีอารมณ์ที่จับความไปอีกทางหนึ่งซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการค้นหา สิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดจะเอาชนะมาก่อน ไม่เคยมีใครคิดจะหาหนทาง หรือ วิธีการชนะ ความแก่ ความเจ็บ

ความตาย ได้เลย ซึ่งผมคิดว่า ขณะที่พระอุทานออกมาอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไม จึงรู้สึกว่า ลูกชาย เป็นราหุลทั้ง ๆที่น่าจะมาความยินดีตามคนมารายงาน ซึ่งทำให้พระองค์กลับเก็บมาครุ่นคิดอยู่ในใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท