ความบกพร่องทางสติปัญญา
คำจำกัดความ
บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยทั่วไปแล้วจะใช้ที่คะแนนจากแบบทดสอบ ทางเชาว์ปัญญา (IQ TEST) เป็นตัวบ่งชี้ บุคคลโดยทั่ว ๆ ไปจะมีระดับเชาว์ปัญญา (IQ) อยู่ ระหว่าง 90-109 หรือ 90-110 หากมีระดับเชาว์ปัญญา (IQ) สูงกว่า 110 ขึ้นไป จัดว่าเป็น จัดว่าเป็นบุคคลที่ค่อนข้างฉลาด (bright) ไปจนถึงฉลาดมาก (very Superior) และถ้ามีระดับ เชาว์ปัญญา (IQ) ต่ำกว่า 90 ลงมา ถือว่าเป็นบุคคลบกพร่องทางสติปัญญา แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ระดับเชาว์ปัญญาก็อาจจะไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาระดับความสามารถด้านอื่นๆ ประกอบด้วย ดังนั้น ในทางด้านการศึกษาจึงให้ความหมายของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ว่าหมายถึง คนที่พัฒนาการช้ากว่าคนทั่วไป เมื่อวัดระดับเชาว์ปัญญาโดยใช้แบบทดสอบ มาตรฐาน แล้วมีระดับเชาว์ปัญญาต่ำกว่าคนทั่วไป และความสามารถในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมต่ำกว่าเกณฑ์ทั่วไปอย่างน้อย 2 ทักษะหรือมากกว่า ทักษะดังกล่าประกอบด้วย
- ทักษะการสื่อความหมาย - ทักษะทางสังคม - ทักษะการใช้สาธารณสมบัติ - ทักษะในการเรียนวิชาการเพื่อชีวิตประจำวัน - การดำรงชีวิตในบ้าน - การดูแลตนเอง - การควบคุมตนเอง - สุขอนามัย และความปลอดภัย - การใช้เวลาว่าง - การทำงาน ลักษณะอาการและความรุนแรง ซึ่งลักษณะความบกพร่องทางสติปัญญานี้ สามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุก่อน 18 ปี และอาจแบ่งความบกพร่องของสติปัญญาได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้ คือ 1. บกพร่องระดับน้อย (Mild) ระดับเชาว์ปัญญา 50 - 70 บุคคลที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา จะอยู่ในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 85) เด็กในกลุ่มนี้บางคนก็พอเรียนได้ เรียกว่า “ กลุ่มเรียนได้ : EMR ” ( Educable Mentally Retarded ) คือกลุ่มที่มีความสามารถเรียน ได้จนถึงชั้นประถมปีที่ 6 เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะมีความสามรถปรับตัวได้เทียบเท่ากับเด็กวัยรุ่น เด็กกลุ่มนี้ยังต้องการคำชี้แนะและการช่วยเหลือเพราะมักไม่รู้จักแยกแยะเหตุผลและมอง ไม่เห็น ผลของการกระทำของตัวเอง หากเด็กกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาพิเศษที่เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถ เรียนรู้และสามารถประกอบอาชีพได้ในระดับหนึ่ง 2. บกพร่องระดับปานกลาง (Moderate) ระดับเชาว์ปัญญา 35 - 55 เชื่อว่าบุคคลที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญาจะอยู่ในกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 10 บางครั้งก็เรียกว่า “ กลุ่มฝึกได้ : TMR” (Trainable Metally Retarded) มีความสามรถพอฝึกอบรมได้และเรียนรู้ทักษะเบื้องต้นง่ายๆ ได้ คือ เรียนได้ระดับประถมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มักจะแสดงอาการเงอะๆ งะๆ การ ประสานสัมพันธ์ของอวัยวะการเคลื่อนไหว และประสาทสัมผัสไม่ค่อยดีนัก ควรได้รับการ ศึกษาในโรงเรียนศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการ 3 . บกพร่องระดับรุนแรง (Severe) ระดับเชาว์ปัญญาประมาณ 20 - 40 เชื่อว่าบุคคลที่มี ี ความบกพร่องทางสติปัญญา จะอยู่ในกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 4 บางครั้งเรียกว่า “ กลุ่มต้องพึ่งพิง ” ไม่สามารถเรียนได้ ส่วนใหญ่จะพบความพิการบกพร่องทางการเคลื่อนไหว การพูดและภาษา ร่วมอยู่ด้วย อาจจะฝึกหัดการช่วยเหลือตนเองในกิจกรรมประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ ได้เท่านั้น ต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นมาก
4 . บกพร่องระดับรุนแรงมาก (Profound) ระดับเชาว์ปัญญาประมาณ 20 - 25 หรือต่ำกว่า 20 เชื่อว่าบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาจะอยู่ในกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 1 เป็นกลุ่มที่ไม่ สามารถฝึกทักษะต่างๆ ได้ ส่วนใหญ่มักจะมีรูปร่างผิดปกติ ต้องพึ่งการดูแลช่วยเหลือทาง การแพทย์เท่านั้น
สาเหตุของความบกพร่องทางสติปัญญา
ส่วนใหญ่ไม่สามารถระบุหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ (ร้อยละ 30 - 50) มักเกิดจากหลายสาเหตุ เป็นปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางชีวภาพ และปัจจัยทางจิตสังคม ปัจจัยทางชีวภาพ เป็นสาเหตุได้ ้ ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอด มักพบมีความผิดปกติอื่นร่วมด้วย สาเหตุได้แก่
- โรคทางพันธุกรรม - การติดเชื้อ - การได้รับสารพิษ - การขาดออกซิเจน - การขาดสารอาหาร - การเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
ลักษณะบางอย่างที่พอสังเกตได้ 1. มีพัฒนาการโดยทั่วไปช้า 2. มีความสามารถทางการเคลื่อนไหวน้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน 3. อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ 4. กล้ามเนื้อทำงานประสานกันไม่ดีนัก 5. เรียนรู้ช้า 6. มีพัฒนาการทางภาษาช้า ภาษาไม่สมวัย 7. มีช่วงสมองสั้น 8. ลืมง่าย สับสนง่าย 9. ชอบลอกเลียนแบบไม่ใช้ความคิดตนเอง 10. ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้ต่ำกว่าวัย
ความต้องการพิเศษ
เด็กกลุ่มนี้อาจต้องการความช่วยเหลือพิเศษเพื่อส่งเสริมศึกษาการให้สามารถเรียนรู้ทักษะ ต่างๆ ได้ โดยผู้เกี่ยวข้องอาจจะต้องให้บริการด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม ดังนี้ เช่น การบริการอื่นๆ - การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ( Early Intervention ) - การแก้ไขการพูด - กายภาพบำบัด - กิจกรรมบำบัด - การสอนเสริม ฯลฯ
กิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ฝ่ายบกพร่องทางปัญญา
1. ตังเต
เตรียมช่องตังเตบนพื้น แต่ละช่องกว้างยาว 2 ฟุต ให้เด็กกระโดดเท้าเดียวไปตามช่องแต่ ละช่องเมื่อถึงช่องกลางสามารถพักยืน 2 เท้าได้ จากนั้นกระโดดต่อไปจนถึงช่องสุดท้ายแล้ว กลับ ในเด็กที่ยังไม่สามารถกระโดดขาเดียวได้ให้กระโดด 2 ขาก่อน
ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ 1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก และกล้ามเนื้อมัดใหญ่ 2. พัฒนาการทางการสื่อสารและภาษา
2. ใส่บล็อครูปทรง
นำกล่องรูปทรงและตัวรูปทรงมาให้เด็กหาช่องรูปทรงแล้วหยิบตัวรูปทรงใส่ลงไปใน กล่องรูปทรงให้ครบตามที่มีตัวรูปทรงต่างๆ ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ 1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก 2. พัฒนาการทางการสื่อสารและภาษา 3. พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
3. ปั้นดินน้ำมัน
ให้เด็กปั้นดินน้ำมันตามจินตนาการของตัวเอง โดยการใช้มือขยำดินน้ำมัน และนวดดิน นํ้ามันบนกระดาษหนังสือพิมพ์ใช้รองพื้นป้องกันพื้นสกปรก ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ 1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก 2. พัฒนาการทางการสื่อสารและภาษา 3. พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
4. ร้อยลูกปัด
ให้เด็กใช้มือร้อยลูกปัดตามจำนวนที่กำหนดให้ อาจจะเพิ่มจำนวนจากน้อยไปหามาก ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ 1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก 2. พัฒนาการทางการสื่อสารและภาษา 3. พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
5. ต่อจิ๊กซอร์
ให้เด็กดูรูปภาพบนจิ๊กซอร์แล้วให้ผู้ปกครองแกะตัวจิ๊กซอร์ออกเพื่อให้เด็กหาชิ้นส่วนต่อ จิ๊กซอร์จนครบเป็นรูปเหมือนเดิม ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ 1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก 2. พัฒนาการทางการสื่อสารและภาษา
|