สวัสดีสมาชิก gotoknow ทุกท่าน วันนี้ครูปองได้เปิดมาใน blog แล้วจะเห็นบันทึกของเพื่อน ๆ หลายท่านได้ถ่ายทอด แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจหลายเรื่องแล้วรู้สึกไม่มั่นใจที่จะเขียนบันทึกในวันนี้ เพราะที่ผ่านมาปกติถ้าได้รับรู้เรื่องราวหรือความรู้ใหม่ๆก็มักจะเล่าสู่กันฟังในระหว่างเพื่อน ๆ ไม่กี่คน แต่คราวนี้จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ อาจจะไม่ชัดเจนเท่าที่ควรก็ต้องขออภัยนะคะ
เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วที่ครูปองได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนเรศวรจังหวัดพิษณุโลก ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับน้อง ๆ และฟังการบรรยายของอาจารย์อรุณี ในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน วันนี้จะขอแบ่งปันความคิดเห็นของครูปองในเรื่องของ ความจริง ที่ได้รับฟังมานะคะ
อะไรคือความจริง? ได้มีนักปรัชญาตอบคำถามนี้ 3 กลุ่มด้วยกัน
กลุ่มแรก เรียกว่า เอกนิยม (Monism) กลุ่มนี้บอกว่าเป็นเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งแยกออกเป็นพวกที่เชื่อว่าหนึ่งเดียวคือจิต (Mind) หรือแบบ (Form) พวกนี้แรกว่าจิตนิยม (Idealism) อีกพวกหนึ่งเชื่อว่าหนึ่งเดียวคือกาย (Body) หรือสสาร (Material) พวกนี้เรียกว่า สสารนิยม (Matenialism) คำว่ากายและจิตนั้นนักปรัชญาได้นำมาอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ว่าพวกที่เชื่อว่าความจริงของมนุษย์คือจิต ซึ่งจิตนั้นจะเป็น นิรันดร์ กายไม่ใช่ความจริงเพราะมีการย่อยสลายไป อีกพวกที่เชื่อว่าความจริงของมนุษย์คือร่างกายที่สามารถมองเห็นจับต้องได้ จิตไม่ใช่ความจริงเพราะสัมผัสจับต้องไม่ได้
มีผู้กล่าวถึงความจริงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ว่า พวกหนึ่งเชื่อว่าความจริงของสรรพสิ่ง คือแบบ ซึ่งแบบก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกับจิตไม่สูญหายอยู่เป็นนิรันดร์ ตรงกันข้ามอีกพวกหนึ่งจะบอกว่าความจริงของสรรพสิ่งคือสสารหรือมีคุณสมบัติความเป็นสสาร เช่น สุนัขมีชีวิตอยู่ก็มีคุณสมบัติเป็นสสารแม้ว่าจะตายเน่าเปื่อยสลายไปก็ยังมีสมบัติเป็นสสารอยู่นั่นเอง
จากการอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์และสรรพสิ่งในทำนองที่กล่าวมาแล้วจัดเป็นพวกเอกนิยม ซึ่งพวกแรกเรียกว่าเอกนิยมแบบจิตนิยม พวกที่สองก็เรียกว่าเอกนิยมแบบสสารนิยม
กลุ่มที่สอง เรียกว่าทวินิยม (Dualism) กลุ่มนี้บอกว่าความจริงของมนุษย์มีมากกว่าสองหรือความจริงประกอบด้วยกายและจิตหรือทั้งแบบ และสสาร ซึ่งทั้งสองสิ่งจะอยู่ด้วยกันเกี่ยวข้องมีปฏิสัมพันธ์กันประดุจสสารและพลังงานนั่นเอง พวกทวินิยม (Dualism) เชื่อว่าความจริงของมนุษย์ก็คือทั้งกายและจิตซึ่งต่างพึ่งพาอาศัยกัน กายเป็นที่อยู่ของจิต ถ้าไม่มีจิตกายก็ไม่เคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม หากกายเสื่อมสลายจิตก็ดับสูญไปด้วย ส่วนความจริงของสรรพสิ่งนั้นประกอบด้วย 2 ส่วน คือ สสารและแบบ (หรือพลังงาน) ทั้ง 2 ส่วนมีความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกัน เช่น น้ำมีสถานภาพเป็นสสารแต่มีพลังงานอยู่ด้วยเป็นต้น
กลุ่มที่สาม เรียกว่า พหุนิยม (Dualism) กลุ่มนี้บอกว่าความจริงของสรรพสิ่งที่มีมากกว่าสอง มีได้หลากหลายไม่จำกัดว่าเป็นหนึ่งเดียวหรือสอง ซึ่งอธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ว่ามนุษย์มีมากกว่าจิตและกาย ประกอบด้วยธาตุสี่หรือขันธ์ห้า เช่นเดียวกับก้อนหินมิใช่เป็นเพียงสสารและพลังงาน แต่ยังมีแง่มุมอื่น ๆ อีก ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของหินซึ่งสิ่งอื่นไม่มี เช่นความแข็งแรง ความสวยงาม เป็นต้น
จากคำกล่าวข้างต้นเราอาจจะตอบคำถามที่ว่าอะไรคือความจริงได้หลาย ๆ คำตอบหลายแง่มุม ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อถือหรือสำนักคิด (School of thought) ของนักปรัชญา และด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงสรุปได้ว่า “ความจริงคือสิ่งที่เชื่อว่าจริง” นั่นเอง
สมาชิก gotoknow ที่อ่านบันทึกของครูปองแล้วอาจจะนึกตำหนิว่าเขียนมาเสียยืดยาว สรุปแล้วความจริงคือสิ่งที่เชื่อว่าจริงเองหรือ ถ้าท่านไม่เห็นด้วยหรือมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร แสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะได้นะคะ จริง ๆ แล้วข้อมูลที่เขียนก็ได้มาจากการอ่านหนังสือปรัชญาวิจัยของ ดร.รัตนะ บัวสนธ์ นั่นเอง ต้องขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ค่ะ ถ้าต้องการทราบรายละเอียดมากกว่านี้หามาอ่านดูนะคะ โอกาสต่อไปมาแบ่งปันความคิดเห็นดี ๆ กันอีกนะคะ
ครูปอง
ความเชื่อเป็นสิ่งที่เรา"คิดว่าจริง"
อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับความจริง
ทฤษฎีว่าด้วยความจริง
การที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยอาจนำทฤษฎีว่าด้วยความจริงเป็นเครื่องมือในการตัดสินหรือนำมาอธิบายเพื่อให้ใด้ซึ่งคำตอบที่เป็นจริง
เท่าที่ผมค้นคว้าเพิ่มเติมในเว็บไซต์ http://www.vcharkarn.com/vblog/37519 ซึ่งมีทฤษฎี 3 ทฤษฎี ดังนี้ครับ
1. ทฤษฎีสหนัย (Inherence Theory) คือ ทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่า ข้อความใดข้อความหนึ่งเท็จจริงหรือไม่ ให้ดูว่าข้อความนี้สอดคล้องกับข้อความอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเดียวกันหรือไม่ ถ้าสอดคล้องกัน ข้อความนั้นก็เป็นจริง ถ้าขัดแย้งกันข้อความนั้นก็ไม่เป็นจริง ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับวิธีหาความรู้แบบนิรนัย (Deduction)
2. ทฤษฎีสมนัย (Correspondence Theory) คือทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่าความรู้ใดเป็นความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงก็ต่อเมื่อความรู้นั้นตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับการหาความรู้แบบอุปนัย (Induction)
3. ทฤษฎีปฏิบัตินิยม (Pragmatism) คือทฤษฎีที่ถือว่า เกณฑ์ตัดสินความจริง คือ การใช้งานได้ สิ่งที่เป็นจริงคือ สิ่งที่มีประโยชน์ ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ทฤษฎีปฏิบัตินิยมเกิดจากความบกพร่องของทั้งสองทฤษฎีแรกข้างต้น กล่าวคือ ทฤษฎีสหนัย มีความบกพร่องตรงที่ว่า ถ้าความรู้เดิมผิดพลาด ความรู้ที่เราได้รับมาใหม่ ก็จะต้องผิดพลาดด้วย ทฤษฎีสมนัยมีความบกพร่องตรงที่ว่า ในโลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงในขณะนี้อาจจะไม่ตรงกับคามจริงในอนาคตก็ได้
ถึงคนบ้านไกล
ดีมาก ที่ค้นมาบอกกัน สรุปว่าทฤษฎี อาจเกิดได้จากการ นิรนัย หรืออุปนัย หรือจากการปฏิบัติใช่ไหม ช่วยเล่าด้วยว่า ทฤษฎ๊คือะไร และ มีประโยชน์อย่างไร และว่างๆ ก็สร้างทฤษฎีของตนด้วยนะ
อรุณี
ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความจริง....
เป็นประโยชน์จริง ๆ ครับ