Cancer is The Major Cause in Death Indemnity
ในธุรกิจประกันชีวิตคือการให้ความคุ้มครองครองแก่ผู้เอาประกัน (Insured) ไว้กับบริษัทผู้รับประกัน (Insurer) เมื่อผู้เอาประกันประสบกับภัยตามที่ระบุไว้ว่าเป็นภัยที่บริษัทให้ความคุ้มครอง หน้าที่ของบริษัทประกันคือการจ่ายสินไหมทดแทน (Claim Payment หรือ Indemnity Payment)ให้กับผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiaries) แล้วแต่กรณี ในการจัดองค์กรของบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย จะมีฝ่ายที่ทำหน้าที่ในการประเมิน (Assessment) เพื่อพิจารณาจ่ายสินไหมให้แก่ผู้เอาประกัน หรือผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งเรียกฝ่ายนี้ว่าฝ่ายสินไหมทดแทนหรือฝ่ายสินไหมประกันชีวิต (Claim Department)
ผลประโยชน์ที่จ่ายให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเรียกร้องสินไหม (Cause of Claim) หากการเรียกร้องสินไหมของผู้เอาประกันเข้ากับเงื่อนไขความคุ้มครองของบริษัทผู้รับประกัน ฝ่านสินไหมทดแทนก็จะพิจารณาจ่ายสินไหมทดแทนตามผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งการจ่ายสินไหมทดแทนนั้นจะมี 2 กรณีคือ
กรณีที่ผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่จะจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันโดยตรง สินไหมดังกล่าว ได้แก่ สินไหมที่จ่ายให้จากความคุ้มครองโรคร้ายแรง (Critical Illness) โรคมะเร็ง (Cancer Benefit) ความคุ้มครองด้านสุขภาพทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (OPD, IPD) ค่าชดเชยรายวัน (Hospital Benefit) การสูญเสียอวัยวะ (Dismemberment) ทุพลภาพ (Disability Benefit) และอุบัติเหตุ (Accidental Benefit) เป็นต้น
ส่วนอีกกรณีคือผู้เอาประกันเสียชีวิต ซึ่งเงินค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวจะจ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์หรือจ่ายให้กับกองมรดกของผู้เอาประกันหรือกองมรดกผู้รับผลประโยชน์กรณีผู้รับผลประโยชน์เสียชีวิตหลังผู้เอประกันและก่อนบริษัทประกันจ่ายสินไหมทดแทนให้ผู้รับผลประโยชน์ การจ่ายสินไหมทดแทนกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตส่วนใหญ่คือสินไหมมรณะกรรม (Death Benefit)
การจ่ายสินไหมมรณะกรรมเนื่องจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกันในแต่ละปีพบว่าสาเหตุหลักมาจากการเสียชีวิตจากมะเร็งซึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆของสาเหตุการตายของผู้เอาประกันเลยทีเดียว
จากการวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกันในปี 2550 มีจำแนกตามสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน 5 อันดับแรกได้แก่
การเรียกร้องสินไหมมรณะกรรมจากสาเหตุที่ผู้เอาประกันสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง (มะเร็งทุกชนิด) ร้อยละ 22.8 ของสาเหตุการเรียกร้องสินไหมมรณะกรรม
รองลงมาได้แก่โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจร้อยละ 20.8
ส่วนอุบัติเหตุเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 3 มีร้อยละ 14.8 โรคชราเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 4 ด้วยร้อยละ 6.5
และการติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 6.4
ในปี 2551 มีการเรียกร้องผลประโยชน์กรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตโดยโรคมะเร็ง (มะเร็งทุกชนิด) ยังเป็นอันดับหนึ่งของสาเหตุการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 27.6 ของสาเหตุการเรียกร้องสินไหมมรณะกรรม
รองลงมาได้แก่โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ คิดเป็นร้อยละ 16.6
ส่วนอุบัติเหตุเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 13.9 การติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 4 ร้อยละ 6.9 และโรคชราเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 5.4
เมื่อเปรียบเทียบสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกันกับสาเหตุการเสียชีวิตรวบรวมและวิเคราะห์โดยกลุ่มภารกิจด้านข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศสุขภาพ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข โดยข้อมูลในปี 2550 มีจำนวนผู้เสียชีวิต 393,255 ราย ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิต 5 อันดับแรกที่รวบรวมโดยหน่วยงานดังกล่าวนั้น
ยังคงเป็นมะเร็งและเนื้องอกซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับแรกมีจำนวน 53,434 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.6 รองลงมาได้แก่สาเหตุจากอุบัติเหตุและการเป็นพิษมีจำนวน 35,661 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.1 อันดับสามได้แก่ โรคหัวใจมีจำนวน 18,452 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.7 อันดับสี่ได้แก่โรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดสมองมีจำนวน 15,286 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.9 และอันดับที่ห้าคือปอดอักเสบและโรคอื่นๆของปอดมีจำนวน 14,179 คิดเป็นร้อยละ 3.6
สาเหตุการเสียชีวิต 5 อันดับแรกในปี 2550
ข้อมูลประกันชีวิต |
ร้อยละ |
ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ |
ร้อยละ |
1.โรคมะเร็ง |
22.8 |
1.มะเร็งและเนื้องอก |
13.6 |
2.โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ |
20.8 |
2.จากอุบัติเหตุและการเป็นพิษ |
9.1 |
3.อุบัติเหตุ |
14.8 |
3.โรคหัวใจ |
4.7 |
4.โรคชรา |
6.5 |
4.โรคความดันโลหิตสูงและหลอดเลือด สมอง |
3.9 |
5.การติดเชื้อในกระแสเลือด |
6.4 |
5.ปอดอักเสบและโรคอื่นๆของปอด |
3.6 |
เมื่อพิจารณาจากการเปรียบเทียบข้อมูลของประกันชีวิตกับข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุขจะพบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของทั้งสองแหล่งโดยสาเหตุสามอันดับแรกของข้อมูลทั้งสองแหล่งมีความใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามข้อมูลสาเหตุการตายของประเทศไทย พบว่ามีปัญหาเนื่องมาจากการระบุสาเหตุการตายยังไม่ได้มาตรฐาน โดยพบว่ามีการเขียนรูปแบบการตาย (Mode of Death) อยู่เป็นจำนวนมาก โดยร้อยละ 30-40 ของการตายเป็นรายงานที่สาเหตุไม่ชัดแจ้งหรือไม่ทราบสาเหตุ ส่วนสาเหตุการตายของผู้สูงอายุในชนบทที่ตายที่บ้านมักระบุว่าตายโดยชราภาพ นอกจากนี้ยังพบว่าบ่อยครั้งที่มีการระบุรูปแบบการตายมากกว่าสาเหตุการตายนำ ในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต การระบุสาเหตุการเสียชีวิตจะยึดตามที่ระบุในใบมรณะบัตร (Death Certificate) ทั้งนี้หากเป็นกรณีที่ผู้ตายเสียชีวิตในโรงพยาบาล ข้อมูลการตายจะถูกระบุสาเหตุการตายไว้ในใบรายงานแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุขใช้บัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ ฉบับแก้ไข ครั้งที่ 10 หรือที่เรียกกันว่า รหัส ICD-10 ในการกำหนดสาเหตุการตาย ทำให้ทราบสาเหตุการตายที่ถูกต้อง
ที่น่าสนใจคือเมื่อเปรียบเทียบ ร้อยละของสาเหตุการเสียชีวิตแล้วจะเห็นได้ว่าในธุรกิจประกันชีวิตมีร้อยละของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจและอุบัติเหตุสูงกว่าข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขอยู่มาก โดยสาเหตุการเสียชีวิตจากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขในปี 2550 มีเพียงร้องละ 13.6 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ในขณะที่สาเหตุการเสียชีวิตของผู้เอาประกันจากมะเร็งสูงถึงร้อยละ 22.8 ของสาเหตุการเรียกร้องสินไหมมรณะกรรม นอกจากนี้ร้อยละของผู้เสียชีวิตจากสาเหตุโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจของกลุ่มผู้เอาประกันยังสูงกว่าข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์คือร้อยละ 20.8 เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ซึ่งมีเพียงร้อยละ 9.1 เท่านั้น ในส่วนของอุบัติเหตุก็ยังพบว่าร้อยละของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในกลุ่มผู้เอาประกันสูงกว่าข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์เช่นกันคือผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในกลุ่มผู้เอาประกันมีร้อยละ 14.8 ส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์มีเพียงร้อยละ 9.1 เท่านั้น
ตัวเลขร้อยละของสาเหตุการเสียชีวิตของกลุ่มผู้เอาประกันทั้งสามสาเหตุที่สูงกว่าข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ากลุ่มของผู้เอาประกันมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากมะเร็ง โรคหัวใจและอุบัติเหตุสูงกว่า นั่นสะท้อนให้เห็นว่าการคัดเลือกภัย (Risk Selection) หรือการพิจารณาประกัน (Underwriting) ไม่สามารถคัดกรองความเสี่ยงของผู้เอาประกันได้อย่างถูกต้องตรงตามอัตรามรณะทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้เอาประกันอาจปกปิดข้อมูลของตนเองเกี่ยวกับภาวะสุขภาพและประวัติครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งอีกทั้งผู้เอาประกันรู้ตัวดีว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อมะเร็งจึงพยายามทำประกันโดยไม่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ผู้รับประกันทราบ จึงทำให้การคัดเลือกกลุ่มผู้เอาประกันดังกล่าวเป็นผลเสียต่อผู้รับประกัน (Adverse Selection) เนื่องจากได้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าอัตรามรณะ นอกจากนี้ตัวเลขร้องละของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของกลุ่มผู้เอาประกันที่สูงกว่าข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ยังสามารถแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้เอาประกันอาจมีความระมัดระวังตนในเรื่องอุบัติเหตุน้อยกว่าปกติ ขาดความรอบคอบและใส่ใจการป้องกันอุบัติเหตุน้อยลง เพราะมีความสบายใจว่าตนเองมีประกันอยู่แล้ว จึงสามารถมีวิถีชีวิต (Life Style) ที่เสี่ยงขึ้นได้ เพราะมีความกังวลน้อยลง หรืออีกนัยหนึ่งกลุ่มผู้เอาประกันอาจนำตัวเองไปเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าทั่วไป เพราะหวังผลประโยชน์จากการทำประกัน (Moral Hazard) ก็เป็นได้
การศึกษาในครั้งนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญของกลุ่มผู้เอาประกันแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ทั้ง Adverse Selection และ Moral Hazard ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิความเสี่ยงสูงของธุรกิจประกันชีวิตอีกด้วย
References
ไม่มีความเห็น