เมื่อวันที่แม่ต้อยและลูกๆจะเดินทางจากนิซเพื่อเดินทางโดยรถไฟไปมิลานประเทศอิตาลีนั้น เราต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัว ออกจากห้องพัก เดินลากกระเป๋าเดินทางเพื่อไปขึ้นรถรางใกล้ๆที่พัก เพื่อไปขึ้นรถไฟอีกครั้งหนึ่ง แม่ต้อยเดินลากกระเป๋าเดินทางไปบนถนนอันเก่าแก่ใจกลางเมือง ผ่านหอระฆัง ไปที่สถานีรถรางที่ไม่ไกลสักเท่าไหร่
ชายหนุ่มฝรั่งเศสผู้ใจดีเห็นเราทำท่าเก้ๆกังๆ เพื่อซื้อตั๋วรถรางก็เข้ามาช่วยเหลือ บอกว่าเขาก็จะขึ้นรถรางคันนี้เหมือนกัน และคอยเข้ามาเตือนเมื่อเราเกือบถึงสถานีรถไฟ ด้วยความเป็นห่วง ( ที่จริงเมือวานเย็น แม่ต้อยและทีมลูกๆได้มา pre servey ไว้แล้ว ) ประทับใจจริงๆคะ
บ้านเมืองไหน ผู้คนน่ารัก มีน้ำจิตน้ำใจ ก็จะอยุ่ในความทรงจำเช่นนี้แหละ แม่ต้อยว่าเรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ดีต่อกัน
จากนิซ เราต้องนั่งรถไฟไปที่มอนาโคอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปเปลี่ยนรถไฟระยะยาวจากที่นั่นเพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศอิตาลี
เราต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกครั้งที่เมืองเล็กๆ น่าจะเป็นชายแดนระหว่างฝรั่งเศสและอิตาลี เราต้องรอรถไฟขบวนใหม่อีกประมาณ ๔๕ นาที
พวกเราจึงพากันไปนั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นในเมืองเล็กๆนี้ เพื่อเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า ที่นี่แม่ต้อยจึงได้มีโอกาสได้ลิ้มรส คาปูชิโนขนานแท้ ที่เขาเสริฟด้วยนมร้อนๆ และแยกกาแฟ ต่างหากเพื่อให้เราผสมรสที่เราต้องการ อร่อยจริงๆคะ ขอยืนยัน สังเกต ว่าชาวเมืองนี่คงคล้ายเมืองชนบททั่วๆไป เพราะไม่ว่าใครเดินผ่านไปมาเขาก็ทักทายกันอย่างคุ้นเคย ถามสารทุกข์สุกดิบกัน น่าอบอุ่น แม่ต้อยจึงนั่งดูอย่างเพลิดเพลิน ในบรรยากาศที่อบอวลด้วยมิตรภาพ แม้ว่า กลิ่นและควันบุหรี่จะเกินพิกัดที่เราคุ้นเคยสักหน่อยก็ตาม
ได้เวลาเราจึงขึ้นรถไฟ สายยาวที่ต้องใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่าๆเพื่อไปมิลาน แม่ต้อยอดที่จะนึกถึง หนังเรื่อง Harry Potter ไม่ได้ เพราะว่ารถไฟขบวนนี้คล้ายๆ รถไฟ ที่บรรดาพ่อมด แม่มดน้อยๆ เดินทางเพื่อกลับไปเรียนหนังสือที่ ฮอกวอต อย่างไร อย่างนั้น ฮ่าๆๆ
ขบวนนี้น่าจะเรียกว่ารถหวานเย็นคะ เพราะว่าแล่นช้าๆ จอดทุกที่ ไปเรื่อยๆ จนแม่ต้อยหมดเรื่องคุย เราจึงนั่งหลับไปแทบตลอดทาง ที่กล้าหลับเพราะว่าทีมแม่ต้อยนั่งรวมกัน ๑ ห้อง จึงไม่มีคนแปลกปลอมมาให้เราต้องเกรงว่าจะมีสิ่งใดอันตรธานไป เพราะการนั่งรถไฟที่อิตาลีนี้ความเสี่ยงเรื่องของถูกลักถุกขโมยเป็นที่เลื่องลือจริงๆ
ไปถึงมิลานก็บ่ายกว่าๆ แล้วคะ ที่พัก ที่จองไว้ใกล้ๆ สถานีรถไฟ ที่เป็นศูนย์กลาง Milano centrale Station จึงสะดวกในการที่จะไปเที่ยวเมืองต่างๆที่เราสนใจ และที่สำคัญไม่ต้องเสียค่ารถอีก เพราะเราสามารถเดินไปๆมาๆ ระหว่างที่พักกับสถานีรถไฟ ได้
ในช่วงบ่าย ตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งถึงบ่ายสองโมง ถึงบ่ายสี่โมง ร้านรวงต่างๆ เขาจะปิดชั่วคราว จะเปิดอีกครั้งก็สี่โมงเย็นจนถึงสองทุ่ม อยากซื้ออะไร ต้องคอยดูดีดีว่าถึงเวลาหรือยัง ทำให้คนชอบซื้อ( เช่นแม่ต้อย ) ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่? ฮ่าๆๆ
ที่มิลาน เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นเมืองแฟชั่นระดับโลกเลยเชียว เราเดินทอดน่องแบบสบายๆไปที่ ศูนย์การค้าอันเก่าแก่ ที่เรียกว่า Galleria Vnuittorio Emanuele มีสินค้าแบรนดิ์ ดังๆ เรียงรายในตึกอันงดงามที่สร้างมานานนับร้อยปี แห่งนี้ รวมทั้งห้องอาหารสไตล์ยุโรปมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งราคาแพงและราคาแพงที่สุด อิอิ
ข้างๆจะมีมหาวิหารแบบโกธิค เรียกว่า Milano Duomo อันเป็นวิหารแบบโกธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่หลังคา มียอดแหลมอันสวยงามแปลกตาถึง ๑๓๕ ชิ้น มีนักท่องเที่ยวมากมายที่เข้ามาเที่ยวในสถานที่ศักดิ์สิทธ์แห่งนี้
เมือง นอกจากเป็นแห่งแฟชั่นแล้ว มิลานยังเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ และเศรษฐกิจของอิตาลีด้วย จึงเห็นนักธุรกิจแต่งกายใส่สูทแบบเนี้ยบ เดินกระทบไหล่กับนักท่องเที่ยว เช่นเรา จึงไม่แปลกนักที่จะเห้นนักธุรกิจเดินอย่างรีบร้อนมือถือแซนวิซ และถ้วยกาแฟ เดินจ้ำอ้าวๆไปยังตึกต่างๆที่เป็นที่ทำงาน
แม่ต้อยเห็นสินค้าที่ทำลอกเลียนแบบ ( ของปลอม) ที่ถูกห้ามนักห้ามหนา ไม่ให้นำเข้าในประเทศยุโรป มีวางขายให้เกลื่อนตามถนน มีทุกชนิด มีทุกแบบที่วางจำหน่ายราคาแพงในห้างดังๆ ว่าจะลองถามแต่ไม่ค่อยกล้า เดี่ยวเขาไม่ให้แม่ต้อยกลับเมืองไทยละก้อคงยุ่งน่าดู
กลับมาที่โรงแรม แม่ต้อยต้องเฝ้าดูว่าร้านค้าเล็กๆคล้ายๆร้านสะดวกซื้อที่บ้านเรา แต่มีพวกผลไม้มากมาย วางขาย เขาจะเปิดหรือยัง จะได้ซื้อผลไม้อร่อยๆมาไว้กินเล่นๆ
จึงเป็นอันทีรู้กันว่าตลอดเวลาที่เราพักที่มิลาน แม่ต้อยจะต้องชะโงกหน้าต่างของโรงแรมเพื่อดูว่าร้าน Super market ที่หน้าโรงแรมเปิดหรือยัง?
หากเปิดแล้ว... นั่นแหละ ได้เวลาเที่ยวแล้วละ..เพราะว่าบรรยากาศค่อยคึกคักขึ้นมาทันที
แล้วแม่ต้อยจะมาเล่าต่อในโอกาสต่อไปนะคะ
สวัสดีคะ
ไม่มีความเห็น