พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550
ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายกำหนดว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดหลัก การบริหารและการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนให้มีฐานะเป็นนิตอบุคคล และมีคณะกรรมการบริหาร เพื่อทำหน้าที่บริหารและจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชนให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกำกับ ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา เช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ นอกจากนี้เพื่อให้เอกชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยรัฐพร้อมให้การสนับสนุนด้านเงินอุดหนุน และสิทธิประโยชน์อย่างอื่น รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุน ด้านวิชาการ
ให้แก่สถานศึกษาของเอกชน
ในพระราชบัญญัติฉบับนี้แบ่งออกเป็น 5 หมวด คือ
หมวด 1 คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
หมวด 2 โรงเรียนในระบบ ซึ่งในหมวดนี้ยังแบ่งย่อยออกเป็น 11 ส่วน
ส่วนที่ 1 การจัดตั้ง และเปิดดำเนินการ
ส่วนที่ 2 ทรัพย์สินและบัญชี
ส่วนที่ 3 การอุดหนุนและส่งเสริม
ส่วนที่ 4 กองทุน
ส่วนที่ 5 การสงเคราะห์
ส่วนที่ 6 การคุ้มครองการทำงาน
ส่วนที่ 7 การกำกับดูแล
ส่วนที่ 8 จรรยา มารยาท วินัย และหน้าที่
ส่วนที่ 9 การโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ
ส่วนที่ 10 การเลิกกิจกรรมและการชำระบัญชี
ส่วนที่ 11 การอุทธรณ์
หมวดที่ 3 โรงเรียนนอกระบบ
หมวดที่ 4 พนักงานเจ้าหน้าที่
หมวดที่ 5 บทกำหนดโทษ
ซึ่งก่อนจะมาพูดถึงหมวดต่าง ๆ ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ เราต้องรู้จักนิยามศัพท์ในพระราชบัญญัติ
ฉบับนี้ก่อน
โรงเรียน หมายความว่า สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในระบบ หรือโรงเรียนนอกระบบที่มิใช่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนตามกฏหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน โรงเรียน
โรงเรียนในระบบ หมายความว่า โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยกำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาการศึกษาการวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน
โรงเรียนนอกระบบ หมายความว่า โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยมีความยึดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษาระยะเวลาของการศึกษา การวัด และประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา
นักเรียน หมายความว่า ผู้รับการศึกษาในโรงเรียน
ผู้รับใบอนุญาต หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตให้ก่อตั้งโรงเรียน
ผู้จัดการ หมายความว่า ผู้จัดการของโรงเรียนในระบบ
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการของโรงเรียนในระบบ
ผู้บริหาร หมายความว่า ผู้บริหารของโรงเรียนนอกระบบ
ครู หมายความว่า บุคลากรโรงเรียนซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ
ในโรงเรียน
ผู้สอน หมายความว่า ผู้ทำหน้าด้านการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ ในโรงเรียน
นอกระบบ
บุคลากรทางการศึกษา หมายความว่า ผู้สนับสนุนการศึกษา เป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาในโรงเรียน
ผู้อนุญาต หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือผู้อำนวยการสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนมอบหมาย
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
ตราสารตั้งจัด หมายความว่า ตราสารจัดตั้งนิติบุคคลของโรงเรียนในระบบ
กองทุน หมายความว่า กองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ข้าราชการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฎิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่
1. สถานศึกษาที่มีนักเรียนรวมกันไม่เกินเจ็ดคน
2. สถานศึกษาที่คณะสงฆ์จัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัย
3. สถานศึกษาอื่นที่กำหนดในกฏกระทรวงตามข้อเสนอของคณะกรรมการ
หมวด 1 คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประกอบด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ มีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และคณะกรรมการที่
รัฐมนตรีแต่งตั้ง
โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเป็นกรรมการ และเลขานุการ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปีและอาจจะได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้
ในการส่งเสริมการจัดการศึกษาเอกชนในจังหวัดหนึ่งนอกจากกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีกลุ่มส่งเสริมสถานศึกษาเอกชนเป็นส่วนราชการในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขตใดเขตหนึ่ง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาเอกชนที่อยู่ในจังหวัดนั้น
หมวด 2 โรงเรียนในระบบ
ส่วนที่ 1 การจัดตั้งและเปิดดำเนินการ
การจัดตั้งโรงเรียนในระบบต้องได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต โดยผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องแนบตราสารจัดตั้งและรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน ในระบบมาพร้อมกับคำขอเมื่อได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ แล้วให้โรงเรียนในระบบเป็นนิติบุคคลนับตั้งแต่วันที่ได้รับใบอนุญาตและให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้แทนของนิติบุคคล
ให้โรงเรียนในระบบมีคณะกรรมการการบริหารประกอบด้วย
ผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู และผู้แทนผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย
หนึ่งคน แต่ไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเป็นบุคคลเดียวกับผู้จัดการ หรือผู้อำนวยการ หรือเป็นบุคคลเดียวกันทั้งสามตำแหน่ง ให้ตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหรือสองคน
กรรมการบริหารของโรงเรียนในระบบมีหน้าที่
1. ออกระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของโรงเรียนในระบบ
2. ให้ความเห็นชอบนโยบาย และแผนพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนในระบบ
3. ให้คำแนะนำการบริหาร และการจัดการโรงเรียนในระบบด้านบุคคลกร แผนงาน งบประมาณ วิชาการ กิจกรรมนักเรียน อาคารสถานที่ และความสัมพันธ์กับชุมชน
4. กำกับดูแลให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนในระบบ
5. ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการ
6. ให้ความเห็นชอบการกู้ยืมเงินครั้งเดี่ยวหรือหลายครั้งรวมกัน เกินร้อยละยี่สิบห้าของมูลค่าทรัพย์สิน
ที่โรงเรียนในระบบมีอยู่ขณะนั้นการกำหนดค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่นของโรงเรียน
ในระบบ ให้ประกาศไว้ในที่เปิดเผยในโรงเรียนในระบบ และโรงเรียนในระบบจะเรียกเก็บเงินอื่นใดจาก
ผู้ปกครองหรือนักเรียนจากที่กำหนดไม่ได้
เอกสารที่โรงเรียนในระบบต้องจัดทำตามพระราชบัญญัตินี้ให้จัดทำเป็นภาษาไทย การสอนในโรงเรียน
ในระบบนอกจากการสอนวิชาภาษาต่างประเทศต้องใช้ภาษาไทย เว้นแต่เป็นโรงเรียนประเภทนานาชาติ หรือเป็นโรงเรียนที่ได้รับอนุญาตให้สอนเป็นภาษาต่างประเทศ
อัตราค่าธรรมเนียม
ใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ ฉบับละ 5,000 บาท
ใบแทนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ ฉบับละ 500 บาท
ใบยื่นขอฉบับละ 500 บาท
ส่วนที่ 2 ทรัพย์สินและบัญชี
โรงเรียนในระบบจัดให้มีกองทุนสำรองและจะจัดให้มีกองทุนอื่นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การนำเงินจากกองทุนสำรองออกใช้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร
ผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการของโรงเรียนในระบบแต่ละปีให้คณะกรรมการบริหารจัดสรรให้
ผู้จัดการเป็นผู้รับผิดชอบ ในการจัดวางระบบและจัดทำบัญชีของโรงเรียนในระบบให้เป็นตามมาตรฐานการบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีของโรงเรียนในระบบภายในหกสิบวันนับสิ้นรอบปีบัญชี วันเริ่มและวันสิ้นปีบัญชี
ของโรงเรียนในระบบให้เป็นไปตามประกาศของโรงเรียนในระบบ
ส่วนที่ 3 การอุดหนุนและส่งเสริม
รัฐให้การอุดหนุนและส่งเสริมโรงเรียนในระบบ นอกเหนือจากเงินอุดหนุนได้ตามคณะกรรมการเสนอแนะโดยเฉพาะในเรื่อง ดังต่อไปนี้
1. จัดบุคลากรทางการศึกษาพร้อมทั้งค่าตอบแทนบุคลากรดังกล่าวให้ในกรณีขาดแคลนหรือในกรณีมุ่งเน้น วิชาการด้านใดด้านหนึ่ง
2. จัดครูพร้อมทั้งค่าตอบแทนครูให้ รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์การศึกษาสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและ
ความช่วยเหลือด้านอื่นทางการศึกษา สำหรับนักเรียนพิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้มีความสามารถพิเศษ
3. การลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้า สินค้าประเภทครุภัณฑ์และอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
4. การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษาเงินได้สำหรับเงินที่ได้รับจากการจัดสรรตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร
ส่วนที่ 4 กองทุน
.
ให้มีกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ ขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการให้ผู้กู้เงินแก่โรงเรียนในระบบ
ส่วนที่ 5 การสงเคราะห์
ให้มีกองทุนสงเคราะห์เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทาง
การศึกษาโดยรวมถึง
1. การจ่ายเป็นทุนเลี้ยงชีพให้แก่ ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา
2. การจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์แก่ผู้อำนวยการครู และบุคลากรทางการศึกษา
3. การส่งเสริมการออมทรัพย์ของผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา
4. การจ่ายเงินสวัสดิการสงเคราะห์
กองทุนสงเคราะห์ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และรายได้ของกองทุนสงเคราะห์ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
โรงเรียนในระบบ หักและรวบรวมเงินสะสมของผู้อำนวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนด
ภายในวันที่สิบของเดือนถัดไปทุกเดือน กรณีโรงเรียนในระบบไม่ส่งเงินสมทบตามกำหนดเวลาในวรรคหนึ่งหรือ
ส่งไม่ครบถ้วนให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละสองต่อเดือนจนกว่าจะนำส่งครบถ้วน
ผู้อำนวยการครูบุคลากรทางการศึกษามีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพเมื่อออกจากงาน
1. เงินทุนเลี้ยงชีพประเภท 1 เท่ากับจำนวนที่ผู้อำนวยการ ครูหรือบุคลากรทางการศึกษา เว้นแต่กรณี
ได้ส่งเงินสะสมพร้อมทั้งดอกผลที่คำนวณได้
2. เงินทุนเลี้ยงชีพประเภท 2 เท่ากับจำนวนที่โรงเรียนในระบบและกระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเงินสมทบ โดยไม่รวมดอกผล
ผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาไม่มีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพประเภท 2 ในกรณี ออกจากงานโดยมีความผิดหรือก่อนมีเวลาทำงานครบสิบปี เว้นแต่เป็นการออกจากงานเพราะตาย เจ็บป่วย หรือทุพพลภาพซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าไม่สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ หรือเพราะโรงเรียน
ในระบบเลิกกิจการ
ส่วนที่ 6 การคุ้มครองการทำงาน
กิจการของโรงเรียนในระบบไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฏหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฏหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฏหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่ผู้ปฏิบัติงานของโรงเรียนต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
ส่วนที่ 7 การกำกับดูแล
ห้ามผู้รับใบอนุญาต ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ครู และบุคลาการทางการศึกษาใช้ หรือยอมให้ผู้อื่นใช้อาคาร สถานที่ หรือบริเวณของโรงเรียนในระบบเพื่อการอันมิชอบด้วยกฏหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดี ของประชาชน หรือ เป็นการอันไม่ควรแก่กิจการของโรงเรียนในระบบ
ในการปฏิบัติหน้าที่ให้คณะกรรมการควบคุมโรงเรียนในระบบเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนที่ 8 จรรยา มรรยาท วินัย และหน้าที่
ผู้รับใบอนุญาต ผู้อำนวยการ ผู้บริหาร ผู้จัดการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่อยู่ในบังคับของกฏหมายว่าด้วยสภาครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีจรรยา มารยาท วินัย และหน้าที่ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
ส่วนที่ 9 การโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ ให้บุคคลอื่นให้ยื่นคำขอต่อผู้อนุญาต ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
ส่วนที่ 10 การเลิกกิจการและการชำระบัญชี
โรงเรียนในระบบเลิกกิจการเมื่อ
1. ผู้รับใบอนุญาต หรือทายาท แล้วแต่กรณี ได้รับอนุญาตให้เลิกกิจการโรงเรียนในระบบ หรือ
2. ผู้รับใบอนุญาตถูกเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ ให้ยื่นคำขอเลิกกิจการโรงเรียนในระบบพร้อมด้วยเหตุผลต่อผู้อนุญาตล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันก่อนสิ้นปีการศึกษา แต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระ บัญชีของโรงเรียนในระบบ และให้นำความในประมวลกฏหมายแพ่ง และพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในระหว่างการชำระบัญชีให้ถือว่าโรงเรียนในระบบนั้นยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี
ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่ ให้คืนแก่ผู้รับใบอนุญาต
ส่วนที่ 11 การอุทธรณ์
การยื่นอุทธรณ์ การรับอุทธรณ์ วิธีพิจารณาอุทธรณ์ และกำหนดเวลาพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตาม
ระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด 3 โรงเรียนนอกระบบ
การจัดโรงเรียนนอกระบบ ต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต ประเภทและลักษณะของโรงเรียนนอกระบบ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอน และหลักสูตรของโรงเรียนนอกระบบให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด โดย
ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องแนบรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของโรงเรียนนอกระบบมาพร้อมกับคำขอ และอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ชื่อ ประเภท และลักษณะของโรงเรียนนอกระบบ
2. ที่ตั้ง และแผนผังแสดงบริเวณ และอาคารของโรงเรียนนอกระบบ
3. หลักสูตร วิธีการสอน การวัดประเมินผลการศึกษา
4. หลักเกณฑ์การคิดค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่น ทั้งหลักเกณฑ์ในการเพิ่มค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ผู้อนุญาตพิจารณาคำขออนุญาตให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาต
อัตราค่าธรรมเนียม
ใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบ ฉบับละ 3,000 บาท
ใบแทนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบ ฉบับละ 300 บาท
ค่ายื่นคำขอ ฉบับละ 500 บาท
ให้ผู้รับใบอนุญาต จัดให้มีผู้บริหารคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการบริหารของโรงเรียนนอกระบบ
และส่งหลักฐานการแต่งตั้งให้ผู้อนุญาตทราบภายในสามสิบวันนับจากวันแต่งตั้ง
ในกรณีที่โรงเรียนนอกระบบประสงค์จะเลิกกิจการ ให้ผู้รับใบอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้อนุญาตทราบ
ไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันที่ประสงค์จะเลิกกิจการ และให้ใบอนุญานั้นสิ้นผลเมื่อถึงกำหนดเลิกกิจการ
หมวด 4 พนักงานเจ้าหน้าที่
ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเข้าไปในโรงเรียนในระหว่างเวลาทำการ และมีหนังสือเรียกผู้ซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ ส่งเอกสารหรือวัตถุที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่ผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง และให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกแก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ตามสมควร
หมวด 5 บทกำหนดโทษ
เช่น ผู้ใดจัดตั้งโรงเรียนในระบบโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 154 บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ที่มีโทษปรับสถานดียวให้ผู้อนุญาตมีอำนาจเปรียบเทียบได้เมื่อผู้อนุญาตได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในสามสิบห้าวันแล้วให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน
ไม่มีความเห็น