ภควัทคีตา : บทเพลงของพระผู้เป็นเจ้า
คัมภีร์ภควัทคีตาเริ่มต้นด้วยการสนทนาระหว่างท้าวอรชุนและพระกฤษณะ ณ ท่ามกลางสมรภูมิก่อนที่สงครามอันยิ่งใหญ่จะได้เปิดฉากขึ้น อรชุนรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจด้วยความสำนึกที่ว่า ตนจะต้องทำสงครามอันจะนำมาซึ่งการนองเลือดอย่างขนานใหญ่ ซึ่งหมายถึงการประหัตประการญาติพี่น้องและมิตรสหาย "การกระทำอันโหดเหี้ยมเช่นนี้มีวัตถุประสงค์อันใดหรือ ? ผลดีอะไรจะบังเกิดขึ้นที่จะมีนำหนักมากไปกว่าความเสียหายและบาปกรรมอันมหันต์เช่นนี้ ?"
กฎเกณฑ์ตลอดจนความสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษนานาประการที่อรชุนเคยมีอยู่ ไม่สามารถจะให้แสงสว่างแก่จิตใจของเขาได้เสียแล้ว อรชุนได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตใจอันปั่นป่วนของมนุษย์ ซึ่งในยุคแล้วยุคเล่า ปรากฎว่าต้องถูกแบ่งแยกฉุดดึงด้วยพันธกรณีและหลักศีลธรรมที่ขัดแย้งกันอยู่เสมอ
จากบทสนทนาอันเป็นเรื่องโต้ตอบกันส่วนตัวระหว่างอรชุนกับพระกฤษณะนี้ เราจะค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่อาณาบริเวณอันสูงส่งและที่ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว หากเป็นเรื่องหน้าที่ของบุคคลและความประพฤติของสังคม แล้วค่อย ๆ เขยิบสูงขึ้น ๆ จนถึงเรื่องหลักการใช้จริยธรรมในชีวิตมนุษย์ และท้ายที่สุดถึงเรื่องทัศนะด้านมโนธรรม ซึ่งควรควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยเนื้อหาอันเป็นสาระสำคัญคัมภีร์ภควัทคีตาว่าด้วยเรื่องพื้นฐานทางจิตใจในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งการดำรงชีวิตนี้เองเป็นแหล่งกำเนิดของปัญหานานาประการในภาคปฏิบัติที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน คัมภีร์ภควัทคีตาเรียกร้องให้มนุษย์ลุกขึ้นสู่การกระทำ เพื่อปฏิบัติพันธกรณีและหน้าที่ของชีวิตให้ลุล่วงไปด้วยดี
แต่ในขณะเดียวกันก็สอนให้มนุษย์คำนึงอยู่เสมอถึงภูมิพลังทางจิตใจ และความมุ่งประสงค์อันกว้างไกลแห่งเอกภพ การเมินเฉยไม่กระทำอะไรได้รับการตำหนิอย่างหนัก แต่การกระทำและการดำเนินชีวิตต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับอุดมการณ์อันสูงสุดด้วย
โอวาทของท่านเหลี่ยวฝาน
พระอวิ๋นกุเถระกล่าวว่า อันคนธรรมดานั้น จิตใจยากจะสงบได้และความฟุ้งซ่านทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวกและพลังลบตามธรรมชาติ ทำให้ชีวิตต้องขึ้นต่อดวงชะตาราศี แต่คนที่ทำคุณงามความดีมาก ๆ เท่านั้นที่ชะตาราศีทำอะไรไม่ได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก จึงใช้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้
เพราะคนดีนั้นถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งว่าไม่ดีอย่างไร แต่พลังแห่งกุศลกรรมนั้นแรงนักสามารถพลิกชะตาที่เลวร้ายให้กลับดีได้ คนจนก็สามารถกลับรวยได้ คนอายุสั้นก็กลับอายุยืนได้ ในทางตรงกันข้ามคนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ ชะตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ความมีลาภยศเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน
พระอวิ๋นกุเถระกล่าวต่อไปอีกว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นเอง เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ในพระพุทธศาสนาท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดา ย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืน ย่อมอายุยืน หากประกอบกรรมดี ย่อมสมปราถนาแล พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้เช่นนี้
ความสุขความเจริญทั้งมวล เกิดขึ้นที่ใจก่อนทั้งสิ้น การแสวงหาใด ๆ ก็ตามต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน ไม่เพียงแต่จะได้คุณธรรมความดีงามทางธรรมเท่านั้น ความสุขความเจริญ ลาภยศ ชื่อเสียงเงินทองอันเป็นความดีงามทางโลก ก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้น การแสวงหาแต่สิ่งที่ดีงามนั้น ย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปราถนา ในทำนองเดียวกันหากไม่สำรวจตัวเอง ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเองกลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอก แม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชะตากำหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้น อาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล แสวงหาด้วยแรงขับของกิเลสตัณหา จึงไม่ทันได้คำนึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทาง ทางธรรมก็เสียหายทางโลกก็เสียหาย การแสวงหาจากภายนอกนั้นจึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
**************************
บทแรกผมคัดมาจากหนังสือ Discovery of India ของท่านบิณฑิต เยาวหลาล เนห์รู รัฐบุรุษของโลกและนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย เป็นการวิเคราะห์แก่นคำสอนว่าด้วยเรื่องกรรมที่แฝงอยู่ในคัมภีร์ภควัทคีตา อันเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์ มหาภารตยุทธ เป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม ความสับสนที่เกิดขึ้นในจิตใจของอรชุนที่ต้องเลือกในระหว่างการทำสงครามกับญาติพี่น้องของตัวเอง ทำให้อรชุนเกิดความท้อถอยไม่อยากทำอะไร เพราะผลคือความวิบัติของทั้งสองฝ่าย
แต่พระกฤษณะได้กล่าวแก่นปรัชญาว่าด้วยกรรมของศาสนาฮินดูว่า มนุษย์จะต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด การปฏิเสธหลบเลี่ยงที่จะไม่ทำหน้าที่เป็นความชั่วช้า และเมื่อปฏิบัติหน้าที่แล้วผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเมื่อเรามั่นใจในการทำหน้าที่ด้วยความถูกต้องและบริสุทธิ์ใจ ผลที่เกิดขึ้นก็ต้องถูกต้องดีงาม
ส่วนบทที่สองผมคัดมาจากหนังสือ "โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน" แปลโดย คุณ เจือจันทร์ อัชพรรณ เป็นการกล่าวถึงหลักคำสอนว่าด้วยกรรมของพระพุทธศาสนา ที่ต้องการชี้ให้เห็นว่า โชคชะตาราศีนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ หาใช่เทพบันดาล ฟ้าลิขิต หรือ ดวงดาวกำหนดไม่ พระพุทธศาสนาปฏิเสธความงมงายในโหราศาสตร์ แต่สอนให้คนเชื่อกฏแห่งกรรม และกฎแห่งกรรมนี้เองเป็นพื้นฐานของจริยธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
ชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดให้ต้องตัดสินใจที่จะต้องทำกรรม ถ้าตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของกุศลจิตก็จัดเป็นกรรมดี ถ้าตัดสินใจบนพื้นฐานของอกุศลจิตก็จัดเป็นกรรมชั่ว การอยู่เฉย ๆ ไม่ตัดสินใจทำหน้าที่ก็เป็นโมหจิตจัดเป็นกรรมชั่ว ดังที่ฌอง ปอล ซาร์ต นักปรัชญาอัตถิภาวนิยม ชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจตลอดเวลา เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง
หลักปรัชญาในศาสนาทุกศาสนาของอินเดียต่างพูดถึงเรื่องกฏแห่งกรรม แต่ความแตกต่างอยู่ที่พื้นฐานทางความเชื่อ กฏแห่งกรรมของพุทธศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฏปฏิจจสมุปปบาท หรืออิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกระบวนการแห่งธรรม ไม่มีพลังอำนาจหนือธรรมชาติใด ๆ แฝงเร้นอยู่ ผู้รู้ท่านจึงสรุปเป็นคำพูดง่าย ๆ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว