ช่วงสองสามเดือนตั้งแต่กลับจากเมืองนนท์มานี้ การที่หนูได้กลับบ้านพ่อกับแม่บ่อย ๆ ทำให้ได้รับรู้ถึงภาระหนี้สินของครอบครัว เป็นช่วงของชีวิตที่พึ่งสำนึกว่า
“ตนเองมีหนี้”
เมื่อเช้าระหว่างวิ่งออกกำลังกาย ทบทวนกับตนเองเกี่ยวกับการเกิดมาและการเป็นหนี้ หนูระลึกเสมอว่า “เกิดมาเพื่อใช้กรรม” จะว่าไปมันก็คล้าย ๆ กันนะ
หนี้สินก็เป็นเหมือนกรรมเก่าที่ต้องชดใช้
แต่เราก็ได้รับโอกาสให้หาเงิน เหมือนกับการสร้างกรรมใหม่
เป็นหนี้ ก็คือเป็นหนี้ แค่ดูใจตนเองไป
แล้วก็ใช้สติปัญญาค่อย ๆ แก้ไขปัญหาตามความจำเป็นเร่งด่วน
ยอมรับว่า มีหนี้สิน แต่ก็หาได้ยอมจำนน
ตั้งใจใช้ชีวิต ตั้งใจทำมาหากินอย่างสุจริต
ไม่สร้างหนี้เพิ่ม เพียงเท่านี้ หนี้ก็ต้องหมดสักวัน
ก็คงเหมือนการใช้ชีวิต ที่เคยชั่วมานาน
ผลของความชั่วที่ทำมา ก็ต้องรับ
แต่ก็ไม่ทำเพิ่ม เร่งเพียรภาวนา ชำระล้างความชั่ว
ตั้งหน้าตั้งตา ทำความดี ตามสติและกำลัง
การคร่ำครวญ หรือ หลบหนีไม่ใช่ทางออก ทำไมถึงกล้าพูด เพราะที่ผ่านมา หนูหลงเพลินไปกับโลก ใช้ชีวิตอิสระไม่แยแสเลยว่า ภาระหนี้สินของครอบครัวพี่สาวเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจเพียงใดที่ต้องรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้
ณ วันนี้ หนูนับถือใจของพี่สาวมาก ๆ เธอแกร่ง เธอเข้มแข็ง เธอแบกรับภาระมากมายมาหลายปี ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยหนูใช้ชีวิตอย่างหลงระเริง เที่ยว กิน ดื่ม ใช้จ่ายเงินอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่ได้หันมองที่บ้านเลยว่ากว่าจะได้มาแต่ละบาทต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงงานและความอดทนขนาดไหน พอเรียนจบปริญญาตรี เข้ารับราชการ พร้อม ๆ กับเรียนปริญญาโท เงินเดือนที่ได้ก็พอเป็นค่าเล่าเรียนและค่ากินอยู่อย่างสบาย หากขัดสนหนูก็เอ่ยปากขอจากพี่สาว ซึ่งพี่ไม่เคยปฏิเสธ กล้าพูดได้เลยว่า หากพี่สาวไม่เมตตาก็ยากที่จะเรียนจบมาได้ทั้งสองใบ
จุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มที่ มีครูช่วยชี้แนะให้เห็นความจริงในชีวิต สอนความเรียบง่าย สอนการภาวนา จากที่กิน เที่ยว ดื่ม ก็ลด ละ เลิก ไปโดยปริยาย วิธีการสอนของครูมาแบบเนียน ๆ ที่ชัด ๆ ชีวิตหนูต้องหมุนงานไปเรียนรู้ที่ส่วนกลางคือ นนทบุรี แล้วครูก็แนะว่า ถ้าไม่ติดงานอะไรให้กลับบ้าน (ลำพังอยู่ขอนแก่น กลับแค่สองสามเดือนครั้ง แต่ตอนอยู่นนทบุรี กลับเดือนละสองสามครั้ง) หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าทำไม ตอนนั้นก็เพียงทำตามที่ครูชี้แนะเท่านั้น การกลับบ้านบ่อย ๆ ทำให้หนูเห็น และรับรู้วิถีชีวิตของคนที่บ้าน สัมผัสเข้าไปด้วยหัวใจจริง ๆ เห็นความอดทน เห็นวิธีเผชิญปัญหา วิธีแก้ปัญหา เห็นความทุกข์ของคนที่บ้าน และขณะเดียวกัน ก็เห็นความอดทนเข้มแข็ง เห็นความยิ่งใหญ่ของหัวใจพ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย ทุกคนมีวิถีที่เป็นสุดยอดแห่งการดำเนินชีวิตมาก ๆ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือ ถ้าไม่มีแรงผลักดัน ถ้าไม่มีกำลังใจ จากผู้มีพระคุณเหล่านี้ คงไม่มีหนู ณ ทุกวันนี้
ขอขอบพระคุณทุก ๆ คนที่เมตตาตลอดมา หนูจะตั้งใจเผชิญกับความจริงของชีวิตอย่างอดทน ไม่ต้องมองหาหรอกว่า ทำอย่างไรชีวิตจะสุขสบาย เพราะทุกอย่างก็เป็นอย่างที่มันเป็น ในความทุกข์ก็มีความสุข และในความสุขก็มีความทุกข์อยู่เช่นเดียวกัน
เช่นบ้านหนูมีหนี้สินสามล้าน แต่รู้ไหม ท่ามกลางหนี้สินกองนี้ ทำให้หนู ได้รับโอกาสในการ พูดคุยกับพี่สาว พูดคุยกับครอบครัว เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ๆ ยอมรับความจริงมากขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นในใจของแต่ละคน ค่อย ๆ ลดลงโดยปริยาย
ขอบพระคุณหนี้สินที่ทำให้ครอบครัวเรารับฟัง และเข้าใจกันและกันมาขึ้น
ไม่มีความเห็น