เติมสีเขียว เติมน้ำใจ ให้กรุงเทพฯ ที่สี่แยกราชประสงค์


ที่สำคัญมากๆ พี่เก่งทิ้งท้ายอย่างน่าฟังว่า แค่ได้เห็นน้องๆ มีใจตื่นแต่ไก่โห่ในวันหยุด โดยยกเรื่องเที่ยวกับเรื่องเรียนพิเศษไว้ก่อน แล้วมาทำกิจกรรมดีๆ ในโอกาสพิเศษร่วมกัน แค่นี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจอย่างมากแล้ว (^_^)

 

        วันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เพราะตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวันที่คอยมาช่วยกระตุ้นเตือนให้ “เราทุกคน” ได้หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันอีกครั้ง (และปีละครั้ง) ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ลงทุกที สภาพอากาศก็แปรปรวนเอ๊า...แปรปรวนเอา เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดก็แรง แล้วประเดี๋ยวเดียวพายุก็เข้าอีก เฮ้อ ไม่ไหวจะเคลียร์!

 

         แล้วก็เหมือนบ้านเมืองถูกเล่นตลกอีกครั้ง ในช่วงเดียวกันก็มีข่าวตัดไม้ใหญ่ 128 ต้นเพื่อขยายถนนพาดผ่านเขาใหญ่มาทำลายอารมณ์ติสท์รักสิ่งแวดล้อมซะงั้น (T_T) แต่ก็เข้าใจสื่อที่ตีประเด็นตลกร้ายเพื่อชี้ให้เห็นว่า “ภาครัฐยังปากว่าตาขยิบอยู่ ! ” โอมเพี้ยง (-/I\-) ขอให้เผ่าพันธุ์คอรัปชั่นหมดไปจากแผ่นดิน “พ่อ” ซะทีเถิด สาธู๊ ...

 

 

 

 

 

 

 

        แต่ถึงจะอย่างนั้น ก็ใช่ว่าวันหยุดนี้จะแห้งเหี่ยวไปซะทีเดียว อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่สี่แยกราชประสงค์พอจะมีเรื่องน่าชื่นใจมาแต่งแต้มวันสิ่งแวดล้อมโลกบ้าง เพราะกรุงเทพมหานครได้เป็นหัวหาดนำชาวกรุงมาปลูกต้นไม้ร่วมกันเพื่อปรับภูมิทัศน์คืนความสวยงามให้แก่เมืองหลวงของเราแห่งนี้ที่สี่แยกราชประสงค์ พร้อมๆ กับพาคนไทยลบเลือนภาพเหตุการณ์ความไม่สงบออกไปจากใจ โดยขอความร่วมมือให้สวมเสื้อขาวมาเป็นสัญลักษณ์ว่า “งานนี้ไม่มีสี” (นะจ้ะ)

 

 

 

        ในส่วนของพี่ๆ น้องๆ ชาวโอเคคิดเองก็เข้ามาแชร์ด้วย (จัดไปอย่าให้เสีย) พี่แบงค์ มูลนิธิสยามกัมมาจล กับพี่เก่ง มูลนิธิกระจกเงา ได้ชวนน้องๆ ในเครือข่ายมาร่วมทำกิจกรรมด้วย รวมๆ แล้วน่าจะ 70 ชีวิตน่าจะได้ ที่มากันเยอะๆ หน่อยเห็นจะเป็นน้องๆ ชมรมจิตอาสาโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยที่มากันถึงประมาณ 30 คน หนึ่งในนั้น คือ น้องญ๋า – ณัฐริกา ภูตาโก โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ที่กำลังปาดเหงื่อเม็ดเป้งหลังจากก้มหน้าก้มตาปลูกต้นไม้สักพักใหญ่จนเหงื่อแตกซก ทว่าก็ยังมียิ้มใสๆ ให้เห็น

 

 

 

 

        ชวนญ๋าคุยสักพักเลยได้อัพเดทความคืบหน้าว่า โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยเพิ่งเปิดตัวชมรมจิตอาสาไปหมาดๆ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา และเพียงไม่กี่วันมีสมาชิกแล้วถึงกว่าร้อยคน ใครมีกิจกรรมดีๆ ก็อย่าลืมฝากข่าวมายังชมรมนี้บ้าง เพราะยินดีช่วยเต็มที่

 

         พูดถึงการมาปลูกต้นไม้วันนี้ ญ๋าบอกว่าตั้งใจนัดแนะกันมาในหมู่เพื่อนๆ ตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่งและขอเลื่อนเรียนพิเศษไปเป็นวันอาทิตย์เพื่อมาปลูกต้นไม้ มาแล้วก็สนุกดีเพราะได้ปลูกต้นไม้จนเล็บดำ กลับบ้านไปก็คงต้องรีบไปตัดเล็บแน่ๆ ส่วนเหงื่อก็ไหลออกมาเต็มที่เหมือนกับได้ออกกำลังกาย แถมยังทำให้รู้สึกชื่นใจเพราะได้เห็นความร่วมแรงร่วมใจของคนที่มาร่วมงาน บางคนขี่จักรยานผ่านมา เห็นคนกำลังปลูกต้นไม้ก็ลงมาช่วยปลูกทันที เพราะเห็นเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน อย่างกลุ่มของญ๋าที่ชวนกันมาวันนี้ถึงจะเป็นพลังเล็กๆ แต่เมื่อรวมกันมากๆ ก็สามารถช่วยกันทำสิ่งใหญ่ๆ ให้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน (น๊ะ)

 

      

        ส่วนของพี่ๆ เองเห็นน้องๆ ง่วนอยู่กับการปลูกต้นไม้ ก็ชักคันไม้คันมืออยากร่วมทำด้วย พอเงยหน้ามองดูนาฬิกาอีกครั้ง ปุ๊บเดียว เวลาก็ผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว พี่ๆ เองก็ยอมรับว่าชักหมดแรงตามประสาคนมีอายุ แต่ น้องอัญ – อนัญญา ธรรมรุ่งโรจน์ จากโรงเรียนหอวังนนทบุรี เพื่อนใหม่ที่ทราบข่าวกิจกรรมมาจากโอเคคิดดอทเน็ทและวันนี้ได้ฉายเดี่ยวมาคนเดียวก็ยังคงฟิตเต็มร้อย

 

 

        อัญบอกว่ารู้จักกิจกรรมนี้จากจดหมายข่ายของโอเคคิดดอทเน็ตมที่ส่งมาทางเมล ซึ่งจริงๆ ก็รู้จักมาอีกต่อหนึ่งหลังจากได้เข้ามาร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปในงานมหกรรมพลังเยาวชนฯ ปีที่แล้วที่ไล่ยาวตั้งแต่หอศิลป์กรุงเทพฯ พาดผ่านสยามพารากอน เรื่อยไปจนถึงห้างเซ็นทรัลฯ ที่ชั้น 8 ทีเคพาร์ค

 

 

        สำหรับกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลกนี้อัญเล่าว่าอยากมาร่วมด้วยเพราะตอนที่มีการทำความสะอาดกรุงเทพฯ อยากมาแต่แม่ห้ามไว้เพราะห่วงว่าจะมีอันตราย ขณะที่ครั้งนี้เห็นว่าปลอดภัยดีจากเหตุการณ์ความไม่สงบแล้วแม่จึงไม่ห้าม โดยส่วนตัว อัญก็ชอบปลูกต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เคยไปปลูกป่าชายเลน มาครั้งนี้แล้วก็สนุกดี

 

         อัญบอกเล่าความคิดให้ฟังว่า ถ้าเราช่วยๆ กันคนละไม้ละมือมันก็สำเร็จได้ รู้สึกดีที่มีส่วนที่ทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้น ยิ่งได้มาเห็นคนอื่นๆ ช่วยกันทำให้กรุงเทพฯ กลับมาดูดีอีกครั้ง ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่เพียงเราที่อยากให้มันดีขึ้น เสียดายที่ครั้งนี้มาได้แค่คนเดียวเพราะปกติจะไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันเป็นกลุ่มเช่นการไปทำกิจกรรมที่บ้านพักคนชรา สถานเลี้ยงเด็ก บ้านราชาวดี

 

 

        มองซ้ายมองขวาก็ไปเจอเข้ากับ 4 หนุ่มหน้ามนจากโรงเรียนโยธินบูรณะที่กำลังขะมักเขม้นเต็มที่ ในจำนวนนี้มี น้องอ๋อ – ธนพล กัณทสิงห์ ชมรมโมโยคลับ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีมาด้วย ซึ่งคราวนี้ขอมาในมาดนักข่าวรุ่นเยาว์ มาสังเกตการณ์และเก็บเนื้อหาสาระดีๆ จากเพื่อนพ้องน้องพี่ที่มาร่วมกิจกรรมเพื่อนำไปเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของชมรม

 

          กับกิจกรรมปลูกต้นไม้ปรับภูมิทัศน์ นักสังเกตการณ์สังคมน้อยอย่างอ๋อมองว่า ต่างจากกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ ที่อ๋อเคยเข้าร่วมมาก่อนหน้านี้มาก เพราะเป็นภาพของความร่วมแรงร่วมใจด้วยน้ำใสใจจริงของคนหลากเพศหลายวัยจริงๆ ถึงแม้ไม่รู้จักกันแต่ก็มีอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และมีรอยยิ้มให้กันตั้งแต่แยกราชประสงค์ไล่เลียงไปถึงแยกชิดลมที่เขาได้มีโอกาสเดินสำรวจ แสดงให้เห็นว่าน้ำใจในสังคมไม่ได้หายไปไหนอย่างที่ใครบอก เพราะภาพวันนี้บอกให้รู้ว่า ทุกคนมีจิตอาสาและได้มาสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่กันและกัน และยังเป็นการให้ต่อเนื่องไปอย่างไม่รู้จบ

 

 

        อ๋อซึ่งเป็นเด็กในเครือข่ายโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงฝากข้อคิดคมๆ ไว้ด้วยว่า คนเราแต่ละคนก็เปรียบเหมือนโซ่หนึ่งข้อ ย่อมไม่อาจมีพลังทำอะไรได้ แต่หากเรามาร้อยพลังเข้าด้วยกันแล้วมันก็จะเป็นสายโซ่ที่สร้างคุณประโยชน์ได้อย่างที่เราเห็นกันในวันนี้

 

        คุยกับน้องอ๋อจบพอดี ทางฝ่ายจัดกิจกรรมของกรุงเทพมหานครก็เริ่มส่งสัญญาณหมดเวลาทำกิจกรรม พี่ๆ น้องๆ จึงช่วยกันเก็บของคนละไม้ละมือให้เข้าที่เข้าทาง เพราะถึงเวลาแล้วที่ต้องกล่าวคำว่า “บ๊าย...บาย” และ “เจอกันใหม่ในโอกาสหน้า”

 

 

        ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อนเอาแรง โชคดีที่มีโอกาสคุยกับ พี่เก่ง - กรวิกา ก้อนแก้ว พี่เลี้ยงใจดีจากมูลนิธิกระจกเงา โดยสะท้อนมุมมองในฐานะพี่เลี้ยงเยาวชนอย่างน่าสนใจว่า ที่ชวนน้องๆ มาปลูกต้นไม้ปรับภูมิทัศน์กันก็เพราะมองเห็นว่าเป็นกิจกรรมจิตอาสาใหม่ๆ ที่น้องๆ รีเควสท์อยากมาร่วมกิจกรรมด้วย นอกเหนือจากกิจกรรมจิตอาสาในโรงพยาบาลที่มูลนิธิกระจกเงาได้ชวนน้องๆ ในโรงเรียนหลายแห่งมาดูแลผู้ป่วยเด็กเล็กในโรงพยาบาลเด็กและผู้ป่วยทหารจากภาคใต้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ซึ่งได้ทำอยู่ก่อนแล้ว

 

         ข้อดีของกิจกรรมวันนี้ พี่เก่งมองว่า ตัวน้องๆ เองจะได้เห็นสังคมในมุมที่กว้างขึ้น และเป็นกำลังใจให้เขาว่า ไม่ได้เห็นว่ามีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่มาทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น แต่การมาปลูกต้นไม้ปรับภูมิทัศน์กรุงเทพฯ ได้ทำให้เขาเห็นคนทุกเพศทุกวัยที่มาทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน ไม่ใช่สังคมเรียกร้องแต่เด็ก ว่าจะต้องทำความดี ถึงขนาดโรงเรียนต้องกำหนดชั่วโมงจิตอาสา แต่ผู้ใหญ่ไม่เห็นจะทำอะไร แต่ว่าจริงๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมได้เรียกร้องจากทุกคนในสังคม ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณลุง คุณยาย คุณตา ฯลฯ รวมไปถึงพ่อแม่ลูกที่จูงมือจูงไม้มาทำสิ่งดีๆ ร่วมกันทั้งครอบครัว

 

 

      โดยอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เด็กๆ ยังได้รู้จักกันข้ามโรงเรียนแบบเราไม่ต้องไปชี้ชวน หากมีกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจอีก เขาก็จะขยายเครือข่ายชวนกันไปทำความดีร่วมกันได้ในอนาคต

 

       ที่สำคัญมากๆ พี่เก่งทิ้งท้ายอย่างน่าฟังว่า แค่ได้เห็นน้องๆ มีใจตื่นแต่ไก่โห่ในวันหยุด โดยยกเรื่องเที่ยวกับเรื่องเรียนพิเศษไว้ก่อน แล้วมาทำกิจกรรมดีๆ ในโอกาสพิเศษร่วมกัน แค่นี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจอย่างมากแล้ว (^_^)

 

        ข้อนี้เห็นด้วยและทำให้นั่งฟังไปแล้วก็อมยิ้มไปพลางจนลืมข่าวร้ายๆ ของผู้ใหญ่ในวันสิ่งแวดล้อมโลกไปได้ชั่วขณะ และคิดไปไกลว่า อนาคตของประเทศเห็นทีจะต้องฝากไว้ในมือคนรุ่นใหม่เหล่านี้ซะแล้ว (^_^)

 
คำสำคัญ (Tags): #ต้นไม้
หมายเลขบันทึก: 365471เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2010 12:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์มากครับ ให้กำลังใจทุกท่านครับ

ถึงเวลาที่เราต้องฟื้นฟู บ้านเมืองของเรา

คนละไม้ คนละมือ ครับ

ให้กำลังใจคนบันทึกด้วยนะครับ :)

ดีครับ ดีมากครับ กิจกรรมยิ่งทำมากยิ่งดี ยิ่งเป็นกิจกรรมเพื่อส่วนรวมด้วยแล้ว ยิ่งดีมากๆ ครับทำกันมากๆ ทำกันให้ทั่วไทย สังคมจะไปรอดครับ

ขอบคุณประเทศไทย ที่ยังมีมุมดีดีให้ชื่นใจเช่นนี้

ขอขอบพระคุณครูหยุย และ อ.จตุพร สำหรับกำลังใจที่มีให้แก่น้องๆ และทีมงานครับผม (^_^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท