“Think like a business owner”


การคิดแบบผู้ประกอบการ

“Think like a business owner”

 

ได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรเรื่อง ”การคิดแบบผู้ประกอบการ” ซึ่งเป็นหลักสูตรที่น่าสนใจ

อาจารย์มาจาก Anabas ซึ่งสอนสนุก ได้ความรู้และได้มีโอกาสลองเป็นผู้ประกอบการเองด้วยครับเพราะการอบรมในครั้งนี้อาจารย์ได้ให้ผู้เข้าร่วมการอบรมได้หัดขายสินค้าที่มาจากความคิดของผู้เข้าอบรมเอง ซึ่งผู้เข้าอบรมแต่ละกลุ่มจะต้องช่วยกันคิดว่ากลุ่มของตัวเองอยากขายอะไรและต้องช่วยกันวางแผนการตลาดเพื่อทำให้สินค้าของกลุ่มตัวเองขายได้ โดยตัดสินกันที่ผลกำไรกลุ่มไหนที่ได้กำไรสูงสุดคือผู้ชนะครับ โดยมีพื้นที่ขายอยู่บริเวณตึกพหลโยธินซึ่งเป็นสถานที่ที่เราอบรมกัน แต่ละกลุ่มก็ช่วยกันระดมความคิดอย่างเต็มที่ตั้งแต่ วิเคราะห์ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไหน มีพฤติกรรมเป็นอย่างไร น่าจะต้องการอะไร เพื่อจะได้เลือกสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครับ ทั้งนี้สิ่งทุกกลุ่มต้องพิจารณาคือเวลาขาย เนื่องจากทุกกลุ่มมีเวลา 2 ชั่วโมงในการขายคือตั้งแต่ 11.00-13.00 น.ซึ่งเป็นเวลาที่เร่งรีบของคนส่วนใหญ่เพราะเป็นเวลามื้อเที่ยงนั่นเองครับ สินค้าที่แต่ละกลุ่มนำมาขายในครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือพิศดารแต่อย่างใด อย่างเช่น บางกลุ่มขายทิชชู่ น้ำดื่ม ขนมลูกอมแต่มีกลุ่มหนึ่งที่ให้บริการรับสั่งอาหารกล่องมื้อเที่ยง หรือ Delivery นั่นแหละครับ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีโปรโมทของสินค้าตนที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกันไป เช่น กลุ่มที่ขายทิชชู่จะแถมลูกอมฟรี กลุ่มที่ขายน้ำดื่มจะสื่อสารกับลูกค้าว่ากำไรทั้งหมดจะไปบริจาคให้กับวัดพระพุทธบาทน้ำพุซึ่งสามารถเรียกความสนใจของคนใจบุญได้มากเลยทีเดียว ส่วนกลุ่มผมนั้นตัดสินใจขายลูกอมกันครับ การทำตลาดก็คล้ายกับกลุ่มที่ขายน้ำดื่ม คือ เน้นสื่อสารให้ผู้ซื้อทราบว่ากำไรที่ได้จะนำไปบริจาคให้แก่เด็กด้อยโอกาสดึงดูดคนชอบทำบุญโดยเฉพาะเพราะรู้ว่านิสัยคนไทยส่วนใหญ่ชอบทำบุญแต่ไม่ค่อยมีเวลาไปทำบุญด้วยตัวเอง ส่วนอีกกลุ่มนั้นได้นำเสนอการเล่นเกมชิงรางวัลครับ หลังจากเวลาผ่านไปจนถึงบ่ายโมง ทุกกลุ่มก็ได้มาร่วมอบรมอีกครั้งในตอนบ่าย และได้ผลสรุปกลุ่มที่ชนะเลิศ ซึ่งได้แก่กลุ่มที่ขายน้ำดื่มครับ กำไรที่ได้จากการขายน้ำและร่วมบริจากสูงถึง 3,400 บาทเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับใช้เวลาแค่สองชั่วโมงแต่สามารถทำกำไรได้งามขนาดนี้ ส่วนกลุ่มที่เหลือก็ได้กำไรทุกกลุ่มเช่นกันครับ กลุ่มขายทิชชู่ ได้กำไรประมาณ 800 บาท กลุ่มที่ให้ลูกค้าเล่นเกมชิงรางวัล ได้กำไรประมาณ 1,200 บาท กลุ่มที่รับสั่งข้าวกล่องได้กำไร 250 บาท ส่วนกลุ่มผมได้กำไร 1,002.25 บาทครับเพราะกลุ่มผมใช้เวลาขายไม่ถึง 45 นาทีก็หมด แต่สมาชิกในฝ่ายลงความเห็นว่าเราจะไม่เพิ่มการขายเพราะเริ่มหิวกันแล้ว กลุ่มผมเลยเป็นกลุ่มแรกที่ขายหมดก่อนและได้มาทานข้าวก่อนกลุ่มอื่น อาจารย์บอกว่าเท่าที่เคยจัดอบรมมา กลุ่มที่ได้กำไรสูงสุดแค่ 500 บาท เท่านั้นเอง การอบรมบางครั้งมีบางกลุ่มขาดทุนด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเราได้มาสรุปถึงกิจกรรมและการอบรมการติดความคิดของผู้ประกอบการ ซึ่งผมขอนำมาแบ่งปันทุกท่านที่ยังไม่เคยรบรมหัวข้อนี้ รวมถึงคนที่เคยอบรมไปแล้วซึ่งสรุปได้ดังนี้ครับ

 

1.ผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการ ต้องมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์  (Creative Idea) คือ รู้จักเลือกสินค้าที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและมีแนวโน้มเติบโต สร้างสรรค์สินค้าให้มีจุดขาย รวมถึงพยายามพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่าง โดยการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation) ให้แก่สินค้า

 

2.ผู้ประกอบการจะเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer Focus) เพราะถ้าไม้มีลูกค้า ผู้ประกอบการเองก็ไม่สามารถขายของได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องรู้ความต้องการของลูกค้า (Customer Needs or Want) และต้องพัฒนาสินค้าและบริการ (Product Development) มาตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วย ผู้ประกอบการที่ดีต้องสามารถก็ปัญหาให้ลูกค้าได้ (Customer Solution) หากลูกค้ามีปัญหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของตนเองรับฟังลูกค้าเมื่อลูกค้าพูดถึงข้อดี (Listen to your customer) ข้อเสียของสินค้าหรือบริการของตนเพื่อนำมาปรับปรุงต่อไปและที่สำคัญผู้ประกอบการต้องคิดว่าลูกค้าคือลมหายใจของกิจการ ดังนั้นผู้ประกอบการจะไม่มีวันด่าลูกค้าของตนเองแน่นอน

 

3.ผู้ประกอบการจะต้องเข้าใจและให้ความสำคัญกับพนักงาน (Employee Engagement) เพราะกิจการจะดำเนินไปได้ จะต้องมีพนักงานที่มีคุณภาพทั้งคุณภาพชีวิต (Quality of Life) สุขภาพ (Quality of Health) และความรู้ความสามารถ (Competency) ในการทำงาน ดังนั้นผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน  และต้องมีการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานอย่างต่อเนื่อง (Continuing Development) รวมถึงต้องพัฒนาตนเอง (Self Development) อยู่เสมอเช่นกัน

 

4.ผู้ประกอบการที่ดีนอกจากจะนึกถึงผลประกอบการและกำไรของกิจการตนเองแล้วต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility) เพราะกิจการจะดำเนินต่อไปไม่ได้หากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมของกิจการนั้นไม่เอื้ออำนวยหรือแย่ลง

 

5.ผู้ประกอบการจะต้องรู้จักการบริหารค่าใช้จ่ายของกิจการ พยายามลดรายจ่ายที่สิ้นเปลืองหรือไม่จำเป็นเพื่อเป็นการลดต้นทุน (Cost Reduction) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในขีดความสามารถในการแข่งขันของกิจการได้ (Competitiveness Advantage)

 

6.ผู้ประกอบการจะต้องคิดถึงการอยู่รอดของกิจการในระยะยาว (Sustainable Growth) ไม่มีเจ้าของกิจการคนใดที่ต้องการเห็นกิจการของตนเองต้องปิดตัวลงหรือหยุดดำเนินกิจการ ดังนั้นผู้ประกอบกิจการจึงพยามยามหาหนทางหรือวิธีในการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่จะทำให้กิจการหยุดชะงักหรือเป็นตัวลดความสามารถในการดำเนินกิจการของตน

 

7.ผู้ประกอบการต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ (Analysis) การแก้ปัญหา (Problem Solving) เพราะในการดำเนินกิจการย่อมมีปัจจัยที่มากระทบที่อาจทำให้การดำเนิน กิจการนั้นมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของการดำเนินกิจการ (Business Environments) รวมถึงรู้จักการแก้ปัญหาเพื่อนำพากิจการให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

 

8.ผู้ประกอบการควรมีความกล้าในการตัดสินใจ (อย่างมีเหตุผล) (Decision Making) เพราะการที่จะเป็นเจ้าของกิจการได้นั้น จะต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องคอยตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา  หากผู้ประกอบการไม่กล้าตัดสินใจ อาจมีผลต่อความอยู่รอดของกิจการได้

 

9.เจ้าของกิจการต้องมีความอดทน (Patient) เพราะการดำเนินกิจการให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคมากมายหากเจ้าของกิจการไม่อดทนหรือท้อเสียก่อน กิจการก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้

 

ผมสรุปความคิดเห็นที่ได้จากการอบรมในครั้งนี้ตามที่ตัวเองเข้าใจ ซึ่งคงไม่แตกต่างจากผู้เข้าอบรมท่านอื่นๆ

แต่สิ่งสำคัญที่บริษัทได้จัดหลักสูตรนี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้พนักงานขององค์กรนั้นได้พัฒนาตนเองให้มีความคิดแบบผู้ประกอบการนั่นเอง

นั่นคือ มีความเข้าใจในลูกค้า มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ในธุรกิจและรู้จักแก้ปัญหา ช่วยบริษัทลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

คำนึงถึงความอยู่รอดของบริษัท มีความเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนร่วมงาน กล้าตัดสินใจและต้องรู้จักอดทน

ซึ่งหากองค์กรใดมีพนักงานที่มีความคิดแบบเจ้าของกิจการอย่างนี้ เชื่อว่าองค์กรนั้นจะสารมารถแข่งขันและเติบโตในธุรกิจนั้นได้อย่างแน่นอนครับ

หรือหากใครอยากจะต่อยอดจากการอบรมโดยผันตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการเอง ก็หวังว่าจะสามารถนำเอาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของตันเองได้ครับ

หมายเลขบันทึก: 364884เขียนเมื่อ 8 มิถุนายน 2010 11:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 13:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท