พัดชา
สุภัสตรา เก้าประดิษฐ์ ทรัพย์ชุกุล

My skin & my life (1)


"การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"
"การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"  วันนี้จะขอเขียนเรื่องเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นกับตนเอง ซึ่งไม่รู้ว่า เรื่องจะจบเมื่อใด เพราะตั้งใจจะเขียนถึงการรักษาไปจนหาย (หากมีโอกาส) 
เรื่องเริ่มประมาณ 1 ปีที่แล้ว ที่ไปนวดน้ำมัน แล้วน้องคนนวด ก็ถามว่า "พี่ หลังของพี่เป็นอะไร" เราก็งง "อ้าวเป็นไรเหรอ" น้องตอบว่า "เป็นปื้นดำใหญ่ ตรงช่วงเอวหน่ะ" เราก็ "อ้าวเหรอ" ไม่ได้สังเกตตนเอง  ดังนั้นจึงได้ไปหาหมอที่คลีนิครักษาสิว ที่เคยไปใช้บริการ ซึ่งหมอก็บอกว่า เค้าเป็นหมอประเภทเครื่องสำอางค์  หากพิจารณาจากรอยดำ แล้วน่าจะไปหาหมอโรคผิวหนังนะ  เราก็โอ๊ย "งานเข้า" จึงตัดสินใจไปหาหมอที่รพ.เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ หมอก็ตรวจและบอกว่า ไม่ต้องกังวลใจไป ดูว่า จะเป็นโรคด่างขาว (Segmental Vitiligo)

ภาพจากเน็ต ค่ะ

คุณหมอได้ให้ทาน Meladinine วันละ 1 เม็ด ทายา Divobet และทาครีมอะไรก็ไม่รู้ เป็นยาผสมวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ค่ารักษาแต่ละครั้งค่อนข้างสูง เช่น ค่าหมอ 400 บาท ค่าบริการทางพยาบาลอะไรประมาณนี้แหละ 2 อย่างๆ ละ 100 บาท ก็เท่ากับ 200 บาท และค่ายาอีก 1000 กว่าบาท รวมแล้วก็เกือบ 2000 บาท/ ครั้ง  โอ๊ย!!! จะเป็นลม คือ ชัวร์ๆ 600 บาทเนี่ยไปแล้วเป็นพื้นฐาน แต่ก็ลองดู อย่างไรก็ตาม ได้รักษาอยู่ประมาณ 4 เดือนกว่าๆ  พบว่า อาการบางส่วน รอยขาวเล็กๆ ที่กลางหน้าผากเริ่มจางเป็นสีผิวปกติ แต่รอยดำที่หลัง ยังเหมือนเดิม และมีรอยเห็นชัดเพิ่มมากขึ้น ก็เลยกังวลใจมาก  หาข้อมูลของโรคด่างขาวทาง Internet ก็ไม่เข้าใจ และรู้สึกว่า มันไม่เหมือนกับรอยดำที่เผชิญอยู่ ประกอบกับสู้ค่ารักษาไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจมาพึ่ง สถาบันโรคผิวหนัง  ด้วยเชื่อมั่นว่า น่าจะตรงประเด็นมากกว่า

การมาใช้บริการที่นี่ครั้งแรก ก็ได้ทำการโทรมานัดเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก็ได้วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2553 เวลา 11 โมง โดยเจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปถึงก่อนเวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงเพื่อทำบัตร จากนั้นก็นั่งรอประมาณ 15 นาที เพื่อทำการคัดกรองว่า มาพบหมอด้วยปัญหาใด นั่งรอต่ออีก 15 นาที ก็ได้พบคุณหมอคนสวย ซึ่งได้ตรวจแล้วก็แจ้งว่า คงต้องตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ก่อนว่าเป็นโรคอะไร ถึงจะรักษาได้  ในใจก็คิดว่า โอ๊ย งานเข้า นี่กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยเหรอเนี่ย หมอบอกว่า อาจจะเป็น SLE แล้วก็ถามอีก ผมร่วงมั๊ย ข้อมีปัญหามั๊ย ดูมือหน่อย ซึ่งตนเองก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้  โดยภาพรวมก็ okay มีแต่ปื้นดำเนี่ยแหละ และมีอาการคันบ้าง จากนั้นก็นั่งรออีก 10 นาที ก็เข้าไปพบคุณหมอท่านที่ 2 พร้อมกับท่านแรก ซึ่งก็ได้คุยกันจนสรุปได้ว่า เพื่อให้รู้แน่ชัดว่า เป็นโรคใด คงต้องตรวจละเอียดดังนี้ 1. ตัดชิ้นเนื้อ 2. ตรวจปัสสาวะ 3.ตรวจเลือด 4.ถ่ายภาพรอยดำ อืม ของเค้าแรงจริงๆ ครบทุกอย่าง แล้วก็นัดฟังผล วันที่ 6 พค. 53 ซึ่งจะเป็นการมี conference กัน  ใจก็เสียวๆ แต่ก็ให้กำลังใจตนว่า Whatever will be, will be.....  ขอพระช่วยคุ้มครองด้วยเถิด.....   
 
ค่าเสียหายในวันนั้น: ค่าตรวจชิ้นเนื้อ ประมาณ 1700 บาท ค่าตรวจเลือดและปัสสะวะ ประมาณ 750 บาท ค่ายาทาผื่นแดงที่หน้า 45 บาท ครีมกันแดด 90 บาท ค่าหมอ 100 บาท ( 2 คน) 
ปล. ก่อนวันนัด ก็ต้องไปล้างแผลทุกวัน ประมาณครั้งละ 70-100 บาทจ้า
หมายเลขบันทึก: 364561เขียนเมื่อ 6 มิถุนายน 2010 21:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม 2012 22:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

ใช่แล้วค่ะการที่ไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐจริงๆ

ขอบคุณค่ะ

ก็ยังไม่ทราบว่าจะหายหรือไม่อย่างไร ก็รักษาโดยการทายามาเรื่อยๆ

หมอบอกว่า จะให้ลองอีกสักระยะ หากไม่ดีขึ้นก็จะฉายแสงเลเซอร์ค่ะ

ตกลงคุณหอวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรเหรอคะ แล้วตอนนี้รักษาหายไหมคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท