จุฬาราชมนตรีมีหลายสถานภาพ ไม่อาจชี้ขาดได้อย่างเด็ดขาดว่า จุฬาราชมนตรีดำรงอยู่ในสภานะใด ทั้งนี้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนระหว่างจุฬาราชมนตรีในฐานะผู้นำมุสลิม ที่มุสลิมจะต้องมีผู้นำในสถานภาพของจุฬาราชมนตรีในประวัติศาสตร์ หรือการผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 หรือ ประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 และอำนาจเกี่ยวกับการวินิจฉัยบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540อันเป็นอำนาจเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการด้านตุลาการ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถานภาพทางประวัติศาสตร์นั้นจุฬาราชมนตรีมีภาพของความเป็นผู้นำประชาคมมุสลิม ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นมุสลิม ฉะนั้น ในบางครั้งจุฬาราชมนตรีทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการในกรมท่าขวา ได้แก่การค้าและการทูตกับชาวต่างชาติด้านฝั่งทะเลตะวันตก เช่น อินเดีย อาหรับ อิหร่าน ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ออกพระจุฬาราชมนตรีเจ้ากรมท่าขวา ยังมีส่วนในการประกอบการค้าและการทูตกับชาวต่างชาติด้านฝั่งทะเลตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น จีนและไต้หวันอีกด้วยต่อมารวมถึงชาวตะวันตกที่ค้าขายอยู่ในบริเวณด้านตะวันตกคืออังกฤษเข้าไว้ด้วย
สถานภาพของจุฬาราชมนตรีในประวัติศาสตร์จึงไม่ได้มีลักษณะของมุฟตีย์ตามนิยามในความรับรู้ของคนทั่วไป ภาพของจุฬาราชมนตรีที่เป็นผู้นำมุสลิมทางด้านการเมืองและการบริหาร เมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่ด้านการวินิจฉัยบทบัญญัติทางศาสนาจึงไม่ได้รับการยอมรับอย่างสนิทใจ
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาสถานภาพของจุฬาราชมนตรีในฐานะผู้นำมุสลิม ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540การที่กฎหมายบัญญัติว่าจุฬาราชมนตรีเป็น “ผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย” หมายถึงอิหม่ามหรือผู้นำของมุสลิมทั้งหมด ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องเป็นมุฟตีย์ควบคู่กันไปด้วย แม้ว่าคำว่า “ผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย ” จะหมายความถึงเป็นผู้นำทั่วไปทุกๆด้าน ซึ่งรวมถึงอำนาจหน้าที่ฟัตวาอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำหน้าที่ฟัตวาเหมือนมุฟตีย์ที่มีอำนาจหน้าที่เฉพาะ
ส่วนสถานภาพของจุฬาราชมนตรีในฐานะประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ ไทย ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ซึ่งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยดังนี้
(1) ให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
(2) ให้คำปรึกษาหรือข้อแนะนำเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแก่คณะกรรมการ อิสลามประจำจังหวัด และคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด
(3) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการกลาง อิสลามแห่งประเทศไทยมอบหมาย
(4) ออกระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและการจัดหาผล ประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและมัสยิด
(5) ออกระเบียบวิธีการดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงาน ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด
(6) ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในจังหวัด ที่ไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ในการนี้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง ประเทศไทยจะมอบหมายให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดที่ใกล้เคียงปฏิบัติ หน้าที่แทนก็ได้
(7) พิจารณาวินิจฉัยคำร้องคัดค้านตามมาตรา 41
(8) จัดทำทะเบียนทรัพย์สิน เอกสารและบัญชีรายรับรายจ่ายของ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
(9) ออกประกาศและให้คำรับรองเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม
(10) ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางศาสนา และการศึกษา ศาสนาอิสลาม
(11) ประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในกิจการที่เกี่ยวกับ ศาสนาอิสลาม
(12) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
จะเห็นได้ว่าอำนาจหน้าที่ตามมาตรานี้เป็นอำนาจในด้านบริหารองค์กรศาสนาอิสลามเป็นหลัก ซึ่งเป็นอำนาจที่กว้างขวางมากกว่าอำนาจของมุฟตีย์ในความรับรู้ของคนทั่วไป
ส่วนอำนาจเกี่ยวกับการวินิจฉัยบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540นั้นก็ยังขาดความชัดเจนว่าจุฬาราชมนตรี มีอำนาจในการวินิจฉัยบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม เพราะมาตรา 8 บัญญัติว่าจุฬาราชมนตรีมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม
(2) แต่งตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม
(3) ออกประกาศแจ้งผลการดูดวงจันทร์ตามมาตรา 35 (11)เพื่อกำหนดวันสำคัญ ทางศาสนา
(4) ออกประกาศเกี่ยวกับข้อวินิจฉัยตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม
อนุมาตราต่างๆ ของมาตรานี้ที่เกี่ยวข้องกับการฟัตวาคือ (2)(3)(4) นั้น เป็นการบัญญัติเพียงแค่อำนาจการประกาศเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจในการวินิจฉัย
แต่ในการปฏิบัติจริง จุฬามนตรีทำหน้าที่วินิจฉัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอิสลามด้วย รูปแบบการฟัตวาของจุฬาราชมนตรีจึงเป็นการฟัตวาที่เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้นำมุสลิมโดยอ้างอิงบทบัญญัติแห่งกฎหมายอิสลามเป็นหลัก ประกอบมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ซึ่งวิธีการวินิจฉัยนั้นโดยปกติแล้ว จุฬาราชมนตรีจะใช้วิธีการวินิจฉัยแบบองค์คณะ ตามข้อวินิจฉัยของคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรีที่จุฬาราชมนตรีแต่งตั้งตาม มาตรา 8 (2) เพียงแต่รูปแบบการวินิจฉัยแบบองค์คณะนั้นยังขาดความชัดเจนว่าองค์คณะมีอำนาจวินิจฉัย หรือมีอำนาจเพียงแค่ให้คำปรึกษาที่ไม่ผูกพันจุฬาราชมนตรี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของจุฬาราชมนตรีเป็นสำคัญ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาอำนาจหน้าที่ของจุฬาราชมนตรีที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำมุสลิม ในll เป็นนักวิชาการและต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะแตกต่างจากสถานภาพของมุฟตีย์ของประเทศอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ของนักวิชาการเป็นหลัก ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารด้วย จึงทำให้สถานภาพของจุฬาราชมนตรีที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นมุฟตีย ์ในประเทศไทยยิ่งไม่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ในเมื่อจุฬาราชมนตรีต้องทำหน้าที่ทั้งสามประการควบคู่กันไป ทำให้ภารกิจทั้งสามอย่างไม่เด่นชัดและเป็นไปตามที่คาดหวังจากผู้ที่มีสถานภาพ เป็นมุฟตีย์เท่าที่ควร เพราะผู้นำมุสลิมก็มีลักษณะและรูปแบบที่เฉพาะ งานด้านวิชาการก็ต้องอาศัยคุณสมบัติที่เฉพาะ งานบริหารก็ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะด้านเช่นกัน ฉะนั้น การมอบหมายภารกิจสามด้านนี้ให้แก่จุฬาราชมนตรีในอดีตหลายท่าน ซึ่งมีคุณลักษณะของโต๊ะครู แต่ไม่มีคุณลักษณะของนักบริหาร จึงเป็นอุปสรรคประการหนึ่งในการบริหารบริหารสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม แห่งประเทศไทยที่มีขอบเขตอำนาจในการบริหารสำนกงานคณะกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดและมัสยิดทั่วประเทศ เพราะโต๊ะครูมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิชาการอิสลาม แต่ก็ด้อยในด้านบริหาร การที่จะหาบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ทั้งสามด้านควบคู่กันไปถึงมีอุปสรรคเป็นอย่างยิ่ง
น่าสนใจครับ ไม่ทราบเป็นงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ครับ แล้วตอนนี้กำลังดำเนินการไปบทที่เท่าไรแล้วครับ รบกวนนำมาเสนอต่อน่ะครับ ขอบคุณครับ
เป็นวิทยานิพนธ์ รศ.ดร.อิสมาแอ อาลี และ รศ.ดลมนรรจน์ บากา เป็นที่ปรึกษาครับ
ไม่เห็น อ.อิสมาแอ เล่าให้ฟังเลยครับ งัยถ้ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร เล่าให้ฟังบ้างน่ะครับ
ผมว่าความจริงแล้วท่านจุฬาฯ หรือไม่ก็คนในสำนักจุฬาฯ น่าจะเขียนตำราหรือแปลตำราศาสนาที่น่าสนใจ ออกสู่สายตาของคนภายนอกบ้าง ในนามสำนักจุฬาราชมนตรี เพราะผมไม่เห็นมีตำราใดๆ ที่ออกมาจากสำนักจุฬาฯ เลยนอกจาก วารสารเล็กๆ น้อยๆ ในวันงานเมาลิดฯ แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่มีตำราใดเลย...ความจริงสถาบันจุฬาฯ น่าจะมีผลงานด้านตำราศาสนาออกมาบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้คนทั้งหลาย เพราะแน่นอนว่า หากมีตำราออกมาจากสถาบันนี้ ต้องได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแน่นอน เท่าที่ผ่านมาผมเล็งเห้นว่าตรงนี้ คือ หนึ่งในจุดบกพร่องของสำนักจุฬาราชมนตรี..