การฟัตวาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของสังคมมุสลิม เพราะเป็นการปรับตัวบททางศาสนากับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ ประเทศมุสลิมและประเทศที่มีมุสลิมเป็นชนส่วนน้อยในประเทศต่างๆ มีการฟัตวาในรูปแบบที่แตกต่างๆ กันตามความเหมาะสมกับสภาพการณ์ในแต่ละสังคม บ้างมีกฎหมายรองรับอย่างเป็นทางการ บ้างมีรูปแบบตามจารีตประเพณีโดยไม่มีกฎหมายรองรับ การฟัตวาของประเทศที่มุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่และมีกฎหมายบัญญัติให้อิสลามเป็น ศาสนาประจำชาติ ย่อมแตกต่างจากประเทศมุสลิมที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และแตกต่างจากประเทศที่ประกาศเป็นประเทศที่แยกศาสนาออกจากการเมือง ดังรูปแบบการฟัตวาในมาเลเซีย ที่มุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่และมีกฎหมายบัญญัติให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และสิงคโปร์ที่มุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยและประกาศเป็นประเทศรัฐฆราวาสที่แยกศาสนา ออกจากการเมืองการปกครอง
นิยามของฟัตวา
ฟัตวา ( فتوى) เป็นคำนามที่เป็นรากศัพท์ (اسم مصدر ) มีความหมายเดียวกับคำว่า อิฟตาอ์ และอาจอ่านว่า “ ฟุตยา ” หรือ “ ฟุตวา ” ก็ได้ ในความหมายเชิงภาษาศาสตร์ หมายถึง การให้คำอธิบายสิ่งที่ไม่ชัดเจนและการถามตอบทั่วไป [1] ศูนย์ภาษาอาหรับ ( مجمع اللغة العربية ) แห่งอียิปต์ ให้ความหมายว่า หมายถึงการชี้แจงทางกฎหมายอิสลามและกฎหมายอื่นๆ [2] ส่วนความหมายเชิงวิชาการ อัลเกาะรอฟีย์ ให้ความหมายว่า หมายถึง การชี้แจงบทบัญญัติของอัลลอฮฺโดยไม่บังคับ [3] ชัยค์ญาดุลฮัก เห็นว่า นักกฎหมายอิสลามและนักวิชาการด้านหลักกฎหมายอิสลาม มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในการให้ความหมายของการฟัตวาว่า การชี้แจงบทบัญญัติของอัลลอฮฺจากแหล่งที่มาของบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม โดยทั่วไป [4]
ลักษณะทั่วไปของการฟัตวาในมาเลเซีย
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำสหพันธ์มาเลเซีย ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์มาเลเซีย มาตรา 3 กฎหมายการฟัตวาในมาเลเซียมีมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานแล้ว การฟัตวาเป็นแหล่งที่มาประการหนึ่งของกฎหมายมาเลเซีย สถาบันฟัตวามีอยู่ในทุกๆรัฐ และมีความเป็นเอกเทศไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของสถาบันฟัตวาระดับชาติ นอกจากกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ อำนาจหน้าที่ของสถาบันฟัตวาในมาเลเซีย จะแตกต่างจากอำนาจหน้าที่ของสภาศาสนาอิสลามหรือศาลชะรีอะฮฺ ซึ่งความแตกต่างกันตามกฎหมายของรัฐนั้นๆ สถาบันฟัตวาในมาเลเซียมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลาม อธิบายความคลุมเครือเกี่ยวกับข้อกฎหมายอิสลาม และมีบทบาทสูงในการเผยแพร่อิสลามในมาเลเซีย [5] มุฟตีย์ของรัฐต่างๆ ในประเทศมาเลเซีย อยู่ภายใต้โครงสร้างการบังคับบัญชาของสภาศาสนาอิสลามของรัฐ และจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดบางประการ เช่น รัฐกลันตัน สลังงอร์ ยะโฮร์ และตรังกานู มีตำแหน่งรองมุฟตีย์ ระดับขั้นของมุฟตีย์ของรัฐต่างๆ ไม่เท่าเทียมกัน กฎหมายของบางรัฐ ให้อำนาจฟัตวาแก่คณะกรรมการฟัตวาในนามองค์คณะทำการฟัตวา แม้ว่ามุฟตีย์ขาดประชุมพิจารณาก็ตาม จำนวนคณะกรรมการฟัตวาของรัฐต่างๆ มีจำนวนระหว่าง 5 -17 คน และองค์ประชุมมีจำนวนระหว่าง 3 -10 คน คณะกรรมการฟัตวาของรัฐต่างๆ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายอิสลาม มีทั้งกรรมการที่มีปริญญาและตำแหน่งทางวิชาการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่มีปริญญา เจ้าหน้าที่ของสำนักงานมุฟตีย์มีจำนวนระหว่าง 5 -13 คน [6]
ประเภทของการฟัตวาในมาเลเซีย
การฟัตวาในมาเลเซีย แบ่งตามลักษณะการบัญชาของที่ประชุมสภากษัตริย์ มี 2 ประเภท คือ การฟัตวาตามบัญชาของที่ประชุมสภากษัตริย์ การฟัตวาโดยไม่มีบัญชาจากที่ประชุมสภากษัตริย์
การฟัตวาตามบัญชาของที่ประชุมสภากษัตริย์ เริ่มจากที่ประชุมสภากษัตริย์มีบัญชาให้คณะกรรมการฟัตวาแห่งชาติทำการฟัตวา เกี่ยวกับกรณีใดๆที่เกิดขึ้นในสังคม คณะกรรมการฟัตวาจะจัดการฟัตวาระดับมูซากะเราะฮฺ หากว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ฟัตวาเป็นอย่างไร สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซียจะนำคำฟัตวาดังกล่าวไปเสนอต่อที่ประชุม สภากษัตริย์ คำฟัตวาที่ที่ประชุมสภากษัตริย์เห็นชอบจะได้รับการนำกลับไปยังคณะกรรมการฟัตวา ประจำรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่คณะกรรมการฟัตวาประจำรัฐต่างๆไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมคำฟัตวาดังกล่าวได้ และจะมีการนำคำฟัตวาดังกล่าวประกาศในหนังสือประจำรัฐต่างๆ คำฟัตวาประเภทนี้ ได้แก่ คำฟัตวาในกรณีการประกาศให้อัลอัรกอมเป็นองค์กรผิดกฎหมายอิสลาม และคำฟัตวาในกรณีที่ทำให้พ้นสภาพการเป็นมุสลิม
การฟัตวาโดยไม่มีบัญชาจากที่ประชุมสภากษัตริย์ มีขึ้นตามคำขอฟัตวาของสังคมมุสลิม จะมีการศึกษากรณีตามคำขอ และนำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมกฎหมายอิสลาม ในกรณีที่จำเป็นจะต้องศึกษาเพิ่มเติม จะถูกนำเสนอต่อการประชุมระดับมูซากะเราะฮฺ ของคณะกรรมการฟัตวาแห่งชาติ สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย ผลการฟัตวาเป็นอย่างไร จะได้รับการนำไปยังคณะกรรมการฟัตวาประจำรัฐต่างๆ โดยที่คณะกรรมการฟัตวาประจำรัฐต่างๆ สามารถแก้ไขเพิ่มเติมฟัตวาดังกล่าวได้ และจะมีการนำฟัตวาดังกล่าวประกาศในหนังสือประจำรัฐต่างๆ คำฟัตวาประเภทนี้ ได้แก่คำฟัตวาในกรณีการประกาศให้การโคลนนิ่งมนุษย์เป็นสิ่งผิดกฎหมายอิสลาม
การฟัตวาในมาเลเซียแบ่งตามลักษณะความเป็นทางการ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ คำฟัตวาที่มีการประกาศในหนังสือราชการ คำฟัตวาไม่มีการประกาศในหนังสือราชการ การตอบปัญหาศาสนาของมุฟตีย์โดยส่วนตัวอย่างไม่เป็นทางการ
คำฟัตวาไม่มีการประกาศในหนังสือราชการ ได้แก่ กรณีคำฟัตวาที่หน่วยงานที่มีอำนาจฟัตวาในรัฐนั้นๆไม่ได้ส่งไปยังหน่วยงานของรัฐ เพื่อประกาศในหนังสือราชการ และกรณีมุฟตีย์มีอำนาจตอบฟัตวาไปยังผู้ขอฟัตวาโดยตรง อย่างไรก็ตามหากว่าการฟัตวาดังกล่าวเป็นการขอฟัตวาอย่างเป็นทางการ โดยมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร หรือโดยวาจา ฟัตวาดังกล่าวก็ยังมีผลผูกพันผู้ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการตอบปัญหาศาสนาของมุฟตีย์โดยส่วนตัวอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการตอบด้วยวาจา หรือเป็นลายลักษณ์อักษร มีผลผูกพันผู้ถามเท่านั้น
การแต่งตั้งมุฟตีย์และคณะกรรมการฟัตวาของมาเลเซีย
การฟัตวาในมาเลเซียมีสองระดับคือ ระดับชาติและระดับรัฐ ในระดับชาติมีคณะกรรมการฟัตวาแห่งสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย ( Majlis Hal Ehwal Islam Malaysia ) ทำหน้าที่ฟัตวา สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซียเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฟัตวา โดยที่สภานี้อยู่ภายใต้อำนาจของสภากษัตริย์แห่งสหพันธ์ ( Majlis Raja-Raja ) [7] คณะกรรมการฟัตวาระดับชาติประกอบไปด้วยมุฟตีย์ของรัฐในสหพันธ์มาเลเซียทุกคน และกรรมการอื่นที่สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซียเป็นผู้แต่งตั้ง โดยมีสถาบัน JAKIM ( Jabatan Kemajuan Islam Malaysia ) ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ [8]
การฟัตวาในระดับรัฐ มีลักษณะที่ไกล้เคียงกันทุกรัฐ [9] สุลต่านแห่งรัฐจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฟัตวาโดยคำแนะนำของสภาศาสนาอิสลาม แห่งรัฐ [10] ดังกรณีมุฟตีย์ของรัฐญะโฮร์ พระราขบัญญัติการบริหารศาสนาอิสลาม(รัฐญะโฮร์) 2003 (EN 16/2003) บัญญัติว่า สุลต่านแห่งรัฐ ภายใต้คำแนะนำของสภาศาสนาอิสลาม ทำหน้าที่แต่งตั้งบุคคลใดๆ ที่เหมาะสมเป็นมุฟตีย์และรองมุฟตีย์ ( มาตรา 44(1) )
อำนาจหน้าที่มุฟตีย์ของมาเลเซีย
ในระดับชาติ คณะกรรมการฟัตวาแห่งสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย ทำหน้าที่ฟัตวาในกรณีที่มีลักษณะดังนี้
คณะกรรมการฟัตวาแห่งสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย ยังมีอำนาจที่จะรับคำขอฟัตวาจากหน่วยงานใดๆ ในประเทศ [11]
ฟัตวาระดับชาตินี้ยังแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือฟัตวาที่มีมติเป็นเอกฉันท์ และได้เสนอต่อสภาสภากษัตริย์แห่งสหพันธ์รัฐเพื่อนำไปประกาศใช้ในรัฐต่างๆ และฟัตวาระดับมุซากะเราะฮฺ ที่ผูกพันเฉพาะมุฟตีย์แห่งรัฐที่เห็นด้วยเท่านั้น [12]
ส่วนในระดับรัฐ องค์กรที่มีอำนาจฟัตวามี 3 รูปแบบคือ
1. การฟัตวาโดยสภาศาสนาอิสลามแห่งรัฐ ได้แก่การฟัตวาในรัฐเคดะห์ เปอร์ลิส ตรังกานู ญะโฮร์และกลันตัน ในรัฐเหล่านี้ เมื่อคำขอฟัตวาในเรื่องใดๆ เลขานุการสภาจะเป็นผู้เสนอคำขอดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฎหมายอิสลาม ( กลันตัน เรียกว่า สภาอุลามะอ์ ญะโฮร์และตรังกานู เรียกว่า คณะกรรมการฟัตวา ) ฟัตวาที่ออกมายึดเสียงส่วนใหญ่และออกในนามสภาศาสนาอิสลามแห่งรัฐ
3. การฟัตวาโดยคณะกรรมการกฎหมายอิสลาม ได้แก่ รัฐมะละกา ในรัฐนี้เมื่อมีคำขอฟัตวามายังมุฟตีย์ มุฟตีย์จะต้องมอบให้คณะกรรมการกฎหมายอิสลาม เพื่อศึกษาและทำร่างฟัตวา และฟัตวานั้นออกในนามคณะกรรมการกฎหมายอิสลาม [14]
มุฟตีย์และคณะกรรมการฟัตวาระดับรัฐ มีอำนาจแตกต่างกันไปตามกฎหมายของแต่ละรัฐ เช่นกรณีรัฐญะโฮร์ พระราขบัญญัติการบริหารศาสนาอิสลาม(รัฐญะโฮร์) 2003 (EN 16/2003) บัญญัติว่า มุฟตีย์มีหน้าที่
1. ช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่สุลต่านและรัฐบาลแห่งรัฐ ในด้านบทบัญญัติอิสลามทั้งปวง และเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่สูงสุดในด้านดังกล่าวถัดจากสุลต่านแห่งรัฐญะโฮร์ เว้นแต่กรณีที่กฎหมายนี้ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ( มาตรา 45 )
2. อำนาจในการฟัตวา เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 51 ตามบัญชาของสุลต่านแห่งรัฐ ตามความประสงค์ของมุฟตีย์เอง หรือตามคำร้องอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของบุคคลใดๆ ที่ส่งถึงมุฟตีย์ มุฟตีย์มีอำนาจทำการฟัตวาต่อปัญหาใดๆ ที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยอันเด็ดขาดแล้ว หรือต่อความไม่ชัดเจนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลาม ( มาตรา 45 )
3. การรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฟัตวาแห่งชาติ ( มาตรา 52 )
4. คณะกรรมการฟัตวา มีอำนาจรับการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฟัตวาแห่งชาติ ในกรณีใดๆ ที่สภากษัตริย์เห็นชอบ ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นทั่วไปในสหพันธ์ ตามที่บัญญัติไว้ในบรรพ 2(b) มาตรา 38 ในรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ (มาตรา 47)
5. การให้คำปรึกษาแก่ศาล หากว่าศาลใดเว้นแต่ศาลชะรีอะฮฺ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อชี้ขาดของบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามในกรณีใดๆ ศาลนั้นมีสิทธิที่จะขอปรึกษาคณะกรรมการฟัตวาในกรณีดังกล่าวได้ และมุฟตีย์มีสิทธิที่จะให้คำปรึกษาของคณะกรรมการฟัตวาต่อศาลที่ร้องขอนั้น ( มาตรา 53 )
ทัศนะหลักที่ใช้ในการฟัตวาของมาเลเซีย
ทัศนะหลักที่ใช้ในการฟัตวาของมุฟตีย์ของรัฐต่างๆ ในมาเลเซียส่วนใหญ่ยกเว้นรัฐเปอร์ลิส คือทัศนะหลักของสำนักกฎหมายชาฟิอีย์ ดังกรณีพระราขบัญญัติการบริหารศาสนาอิสลาม(รัฐญะโฮร์) 2003 (EN 16/2003) มาตรา 54 บัญญัติว่า
(1) ในการฟัตวา ตามมาตรา 48 หรือการให้คำปรึกษาตามมาตรา 53 คณะกรรมการฟัตวาจะต้องฟัตวาตามทัศนะหลักของสำนักกฎหมายชาฟิอีย์
(2) หากคณะกรรมการฟัตวาเห็นว่าการฟัตวาตามทัศนะหลักของสำนักกฎหมายชาฟิอีย์ ขัดแย้งกับประโยชน์อันสังคมพึงมีพึงได้ คณะกรรมการฟัตวามีสิทธิที่จะตามทัศนะหลักในสำนักกฎหมายหะนะฟีย์ มาลิกีย์หรือฮัมบะลีย์
(3) หากคณะกรรมการฟัตวาเห็นว่า ไม่มีทัศนะหลักของสำนักกฎหมายทั้งสี่สามารถที่จะปฎิบัติตามได้โดยไม่นำไปสู่การ ขัดแย้งกับประโยชน์ของสังคม คณะกรรมการฟัตวามีสิทธิที่ฟัตวาโดยไม่ยึดติดกับทัศนะหลักของสำนักกฎหมายทั้งสี่
กรณีของรัฐเปอร์ลิส การฟัตวาของคณะกรรมการกฎหมายอิสลามแห่งรัฐเปอร์ลิส ไม่ยึดทัศนะทางกฎหมายอิสลามของสำนักกฎหมายอิสลามใดๆ เป็นการเฉพาะ แต่จะใช้ทัศนะทางกฎหมายอิสลามของสำนักกฎหมายอิสลามใดๆ ก็ได้ตามน้ำหนักแหล่งที่มาของกฎหมาย ตามกฎหมายสถาปนารัฐเปอร์ลิส ( Law of the Constitution of Perlis ) ภาค 2 มาตรา 5 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า “ ศาสนาประจำรัฐคือศาสนาอิสลามอะหฺลิสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ ที่มีการนับถือและปฏิบัติในรัฐ ” และกฎหมายการบริหารกิจการศาสนาอิสลาม 1964 ภาค 2 มาตรา 7(4) บัญญัติว่า “ การให้คำฟัตวาของสภาและการให้คำปรึกษาของคณะกรรมการกฎหมายอิสลาม จะต้องตามอัลกุรอานและสุนนะฮฺ ” จากกฎหมายดังกล่าวปรากฎชัดเจนว่ารัฐเปอร์ลิสไม่เน้นการตามทัศนะทางกฎหมาย อิสลามของสำนักกฎหมายอิสลามใดๆเป็นการเฉพาะดังเช่นรัฐอื่นๆ[15]
กระบวนการการฟัตวา
กระบวนการการฟัตวาในมาเลเซีย กำหนดวิธีการฟัตวาตั้งแต่เริ่มศึกษาจนกระทั่งการประกาศในหนังสือราชการดังนี้
คำขอฟัตวาที่ถูกเสนอโดยประชาชนทั่วไปหรือหน่วยงานราชการ หรือองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็นคำขอที่เป็นลายลักษณ์อักษร โทรศัพท์ หรือผู้ขอฟัตวามายังสำนักงานด้วยตนเอง จะมีขั้นตอนดังนี้
ก. กรณีที่ง่ายดาย ชัดเจน ไม่มีผลกระทบต่อส่วนรวม และไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้า โดยปกติแล้วมุฟตีย์จะตอบโดยตนเองทันที
ข. กรณีที่ไม่ชัดเจน หรือมีผลกระทบต่อส่วนรวม หรือจำเป็นต้องศึกษาและพิจารณา จะมีการนำเข้าไปยังที่ประชุมหน่วยงานที่มีอำนาจฟัตวาในรัฐนั้นๆเพื่อศึกษา พิจารณาและตัดสินชี้ขาด โดยที่การประชุมนั้นจะมีมุฟตีย์เป็นประธาน และที่ประชุมประกอบด้วยคณะอุละมาอ์ในรัฐนั้นๆ ที่สภาศาสนาอิสลามแห่งรัฐแต่งตั้งและได้รับความเห็นชอบจากสุลต่านแห่งรัฐแล้ว
ค. หากว่ากรณีที่ขอฟัตวานั้นเป็นกรณีระดับชาติ จะมีการนำกรณีดังกล่าวไปยังการประชุมระดับมุซากะเราะฮฺ ของคณะกรรมการฟัตวาแห่งชาติ สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย เพื่อศึกษาและชี้ขาด โดยที่ประชุมประกอบด้วยมุฟตีย์ของทุกรัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลาม ที่สภากษัตริย์แต่งตั้ง
หากว่ากรณีดังกล่าวจะต้องมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม มุฟตีย์แห่งรัฐต่างๆจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยของหน่วยงานที่มีอำนาจฟัตวาทำการศึกษา และทำรายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ หากว่ากรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเทคนิคด้านต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องก็จะถูกเชิญมาให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ แล้วหน่วยงานที่มีอำนาจฟัตวาในรัฐต่างๆ จะทำการประชุมเพื่อตัดสินชี้ขาดต่อไป
สถานะทางกฎหมายของฟัตวา
ฟัตวาที่ได้รับการประกาศในหนังสือราชการ จะมีผลผูกพันต่อมุสลิมชาวมาเลเซียทุกคนไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในประเทศใด
กรณีรัฐญะโฮร์ ฟัตวาที่ประกาศ หรือส่งไปยังผู้ร้องแล้วมีผลผูกพันตามกฎหมาย ฟัตวาที่ประกาศ หรือส่งไปยังผู้ร้องแล้ว มีผลผูกพันผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกคนในรัฐญะโฮร์ ในฐานะเป็นคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่ชาวมุสลิมมีหน้าที่เชื่อฟังคำสอนของศาสนาที่ปรากฏในฟัตวาดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นจากคณะกรรมการฟัตวาตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา (มาตรา 49)
การละเมิดต่อฟัตวา
ในกรณีฟัตวาที่ได้รับการประกาศในหนังสือราชการ กฎหมายของรัฐต่างๆบัญญัติให้สภาศาสนาอิสลามแห่งรัฐเป็นผู้มีอำนาจฟ้องร้องมุสลิม ที่ฝ่าฝืนฟัตวาต่อศาลชะรีอะฮฺ เช่น สภาศาสนาอิสลามแห่งรัฐ มีอำนาจฟ้องร้องมุสลิมผู้ละเมิดฟัตวาต่อศาลชะรีอะฮฺ และมีอำนาจประกาศว่า หนังสือ แผ่นซีดี เทป ภาพยนตร์ใดๆ ว่าละเมิดบทบัญญัติศาสนาต่อศาลชะรีอะฮฺได้[16]
รัฐต่างๆของมาเลเซียทุกรัฐมีกฎหมายบัญญัติความผิดฐานละเมิดต่อฟัตวา เป็นความผิดเฉพาะชาวมุสลิมมาเลเซียที่จำหน่าย จ่ายแจก เผยแพร่ทัศนะใดๆ เกี่ยวกับคำสอนของศาสนาอิสลามในรูปแบบของฟัตวาที่ขัดแย้งกับฟัตวาใดๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลชะรีอะฮฺมีอำนาจพิพากษาบุคคลที่กระผิดความผิดฐานละเมิดต่อฟัตวา ในความผิดอาญาทางศาสนาโดยการลงโทษปรับหรือจำคุก เช่น ความผิดฐานละเมิดต่อฟัตวาตามกฎหมายของรัฐเคดะห์ กลันตัน เปอร์ลิส และตรังกานู มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 เหรียญ และหรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี [17]
การแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกฟัตวา กรณีรัฐญะโฮร์
การแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกฟัตวา พระราขบัญญัติการบริหารศาสนาอิสลาม(รัฐญะโฮร์) 2003 (EN 16/2003) มาตรา 50 บัญญัติว่า
(1) คณะกรรมการฟัตวามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกฟัตวาที่ประกาศ หรือส่งไปยังผู้ร้องแล้วตามกฎหมายนี้หรือกฎหมายฉบับก่อนๆ
ข้อจำกัดของการฟัตวา
ตามกฎหมายของรัฐต่างๆ ในมาเลเซีย ไม่ว่าอำนาจของคณะกรรมการฟัตวา จะเป็นอย่างไร เมื่อคณะกรรมการฟัตวาเห็นว่าคำขอฟัตวาที่เสนอมากระทบกับประโยชน์ของชาติ คณะกรรมการฟัตวาต้องหยุดการพิจารณาคำขอฟัตวาดังกล่าว และเสนอต่อสภาศาสนาอิสลาม ( Majlis Agama Islam ) แห่งรัฐ
การฟัตวาในสิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อย แต่มีสถาบันฟัตวาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย มุฟตีย์ดำรงตำแหน่งกรรมการพิเศษของสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ ( Majlis Ugama Islam Singapura ) จนกระทั่งหมดวาระเวลาการดำรงตำแหน่ง สภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์และประชาชนทั่วไปมีสิทธิขอคำฟัตวาจากคณะกรรมการ กฎหมาย ในกรณีใดๆที่เกี่ยวกับบทบัญญัติศาสนาอิสลาม [18] ในสิงคโปร์ มุฟตีย์และคณะกรรมการฟัตวาของสิงคโปร์แต่งตั้งตามพระราชบัญญัติการบริหาร กฎหมายอิสลาม ( Administration of Muslim Law Act ) มาตรา 30 – 33 การฟัตวาจะกระทำเป็นองค์คณะเรียกว่า คณะกรรมการกฎหมาย และจะต้องเป็นมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการกฎหมายทั้งหมด หากกรณีใดที่ไม่สามารถมีมติเป็นเป็นเอกฉันท์ได้ ก็จะถูกส่งไปยังสภาสูงสุดของสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ สมาชิกสภาจะเลือกทัศนะใดๆ ที่ยังประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด อย่างไรก็ตามข้อชี้ขาดที่ได้มาจากมติที่ประชุมสภาสูงสุดของสภาศาสนาอิสลาม แห่งสิงคโปร์ไม่ถือว่าเป็นฟัตวา เป็นเพียงข้อแนะนำทั่วไปเท่านั้น
การแต่งตั้งมุฟตีย์และคณะกรรมการฟัตวาของสิงคโปร์
การแต่งตั้งมุฟตีย์และคณะกรรมการฟัตวาของสิงคโปร์ เป็นการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติการบริหารกฎหมายอิสลาม ( Administration of Muslim Law Act ) มาตรา 30 – 33 กฎหมายนี้บัญญัติให้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นผู้แต่งตั้งมุฟตีย์ ตามคำแนะนำของที่ประชุมสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ และการแต่งตั้งมุฟตีย์ของสิงคโปร์จะต้องประกาศในหนังสือ Gazette [19]
การแต่งตั้งคณะกรรมการกฎหมายของสิงคโปร์
คณะกรรมการกฎหมายของสิงคโปร์ประกอบด้วย
1. มุฟตีย์เป็นประธาน
2. สมาชิกสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ที่มีความเหมาะสมจำนวน 2 คนซึ่งปกติแล้วจะเป็นอุลามาอ์ทั้งสองคน
3. อุลามาอ์อื่นๆ ที่ไม่เป็นสมาชิกสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์จำนวน 2 คน ( มาตรา 31(1) )
คณะกรรมการเหล่านี้มีวาระการดำรงตำแหน่งตามวาระที่ประธานาธิบดีสิงคโปร์เห็น สมควร ( มาตรา 31(3) ) ซึ่งในปัจจุบันกำหนดคราวละ 3 ปี
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 ได้มีการขยายตำแหน่งองค์ประชุมคณะกรรมการกฎหมาย โดยการเชิญผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 8 คน ในการพิจารณากรณีที่มีการขอคำฟัตวา เพื่อความรอบคอบยิ่งขึ้นและเป็นการฝึกบุคลากรที่เป็นอุลามาอ์รุ่นใหม่ให้มีประสบการณ ์และพร้อมจะเป็นผู้สืบทอดในด้านนี้ต่อไป
คณะกรรมการกฎหมายทั้งสี่คนดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งตามความเหมาะสมโดยพิจารณาคุณสมบัติด้านการจบการศึกษาระดับ อุดมศึกษาด้านศาสนาอิสลาม และประธานาธิบดีแห่งสิงคโปร์เป็นผู้แต่งตั้งตามคำแนะนำของสภาศาสนาอิสลามแห่ง สิงคโปร์และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านกิจการมุสลิมสิงคโปร์ หลังจากแต่งตั้งแล้วก็จะประกาศในหนังสือราชการ
อำนาจหน้าที่มุฟตีย์แห่งสิงคโปร์
อำนาจหน้าที่ของมุฟตีย์สิงคโปร์ได้แก่
- เป็นประธานคณะกรรมการฟัตวา ตามกฎหมายการบริหารกฎหมายอิสลาม ตามที่บัญญัติ ในมาตรา 30 – 33
- ให้คำแนะนำด้านศาสนาแก่สภาสูงสุดของสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ หรือคณะกรรมการอื่นๆ ของสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์
- กระทำการพร้อมกับประธานาธิบดีและเลขานุการประธานาธิบดี เพื่อการตัดสินใจใดๆ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ประกาศการเริ่มต้นเดือนเราะมาฎอน เชาวาลและอีดิลอัฎฮา
- จัดทำปฏิทินอิสลาม และกำหนดเวลาละหมาดในสิงคโปร์
- ประกาศปริมาณซะกาตฟิฎร์
- ทำหน้าที่เกี่ยวกับคุฎบะฮฺวันศุกร์ และวันอีดทั้งสองของสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์
- ทดสอบและเห็นชอบการแต่งตั้งอิหม่ามและบิลาล ของมัสยิดในสิงคโปร์
- ให้คำแนะนำด้านศาสนาอิสลามในกรณีต่างๆที่เกิดขึ้น [20]
ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกฎหมายของสิงคโปร์ได้แก่
ในการประชุมของคณะกรรมการกฎหมาย องค์ประชุมจะต้องประกอบด้วยมุฟตีย์และกรรมการอย่างน้อยสองคน ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างกัน หมายถึง หนึ่งคนจากสมาชิกสภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์และอีกหนึ่งคนไม่ใช่สมาชิก สภาศาสนาอิสลามแห่งสิงคโปร์ ทั้งนี้เพื่อป้องมิให้การฟัตวามีความลำเอียงหรือหมิ่นเหม่ต่อความเข้าใจผิดได้ กรณีที่กรรมการสองคนที่มาประชุมมาจากกลุ่มเดียวกัน ข้อชี้ขาดที่เกิดขึ้นจากการประชุมเป็นเพียงทัศนะไม่ถือว่าเป็นฟัตวา [21]
ทัศนะหลักที่ใช้ในการฟัตวาในสิงคโปร์
พระราชบัญญัติการบริหารกฎหมายอิสลามของสิงคโปร์บัญญัติให้คณะกรรมการกฎหมาย จะต้องฟัตวาตามสำนักกฎหมายชาฟิอีย์ หากกรณีดังกล่าวเป็นทัศนะที่ขัดกับผลประโยชน์ส่วนรวมแล้ว คณะกรรมการฟัตวามีสิทธิที่จะตามทัศนะในสำนักกฎหมายอื่นๆ ได้ แต่ต้องแสดงรายละเอียดพร้อมคำอธิบายที่จำเป็นทั้งหมด ( มาตรา 33(1) ) ในกรณีที่คณะกรรมการกฎหมายได้รับคำร้องขอความเห็นของสำนักกฎหมายใดๆ เป็นการเฉพาะ ให้ฟัตวาตามความเห็นในสำนักกฎหมายนั้นๆ ( มาตรา 33(2) ) อย่างไรก็ตามการฟัตวาของคณะกรรมการกฎหมายของสิงคโปร์มักเลือกใช้ทัศนะที่ง่าย และสะดวกที่สุด และได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้สังคมประสบกับความยากลำบากในการปฏิบัติตามคำสอน ของศาสนา
กระบวนการการฟัตวา
กระบวนการฟัตวาในสิงคโปร์ ทุกคนสามารถทำหนังสือถึงเลขาธิการสภาศาสนาอิสลาม ร้องขอให้สภาศาสนาอิสลามวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลาม( มาตรา 32(4) ) เมื่อเลขาธิการได้รับหนังสือร้องขอแล้วจะต้องส่งหนังสือนั้นไปยังประธานคณะกรรมการ กฎหมายโดยทันที ( มาตรา 32(1) )
คณะกรรมการกฎหมายจะต้องพิจารณาทุกคำร้อง เว้นแต่เห็นว่าปัญหาที่ส่งมานั้นไม่มีสาระ หรือคณะกรรมการมีเหตุผลอื่นที่จะไม่ตอบก็ได้
ในการทำคำวินิจฉัยปัญหา จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากสมาชิก
ประธานคณะกรรมการกฎหมาย ในนามคณะกรรมการฟัตวาจะต้องนำส่งคำวินิจฉัยตามนั้นโดยทันที แต่ถ้าในกรณีที่คณะกรรมการกฎหมายไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ จะต้องส่งปัญหาไปยังสภาศาสนาอิสลาม ในการวินิจฉัยปัญหานั้นให้ถือตามเสียงข้างมาก ( มาตรา 32(2) )
ถ้าศาลใด รวมถึงศาลชะรีอะฮฺ มีปัญหาข้อกฎหมายอิสลามในการตัดสินคดี ศาลนั้นอาจขอความเห็นของสภาศาสนาอิสลาม ปัญหานั้นจะต้องส่งไปยังคณะกรรมการกฎหมาย คณะกรรมการกฎหมายในนามของสภาศาสนาอิสลาม จะต้องสรุปความเห็นในเรื่องนั้น โดยถือเอาเสียงข้างมากและรับรองความเห็นไปยังศาลที่ขอความเห็นมา ( มาตรา 32(5) )[22]
หากมีความจำเป็นคณะกรรมการกฎหมายอาจเชิญผู้ขอฟัตวา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือองค์กร มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และหากจำเป็น คณะกรรมการกฎหมายอาจเชิญผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่มีการขอคำฟัตวา มาให้ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดก่อนที่จะมีการฟัตวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนกิจ เช่น การแพทย์ วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการเงิน หรืออื่นๆ
เปรียบเทียบรูปแบบการฟัตวาในมาเลเซียและสิงคโปร์
การฟัตวาของมาเลเซียและสิงคโปร์ มีทั้งที่สอดคล้องกันและแตกต่างกัน ในส่วนที่มีความสอดคล้องกัน ได้แก่
อย่างไรก็ตาม กฎหมายของสิงคโปร์ ยังให้กำหนดว่ากรณีที่คณะกรรมการกฎหมายได้รับคำร้องขอความเห็นสำนักกฎหมาย อิสลามใดๆเป็นการเฉพาะ ก็จะต้องทำการฟัตวาตามความเห็นในสำนักกฎหมายนั้นๆ
ในส่วนที่การฟัตวาของประทศมาเลเซียและสิงคโปร์มีความแตกต่างกันนั้นมีดังต่อไปนี้
ในระดับชาติ มีคณะกรรมการฟัตวาของสภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย ทำหน้าที่ฟัตวา คณะกรรมการฟัตวาระดับชาติประกอบไปด้วยมุฟตีย์ของรัฐต่างๆ ในสหพันธ์มาเลเซียทุกคนและกรรมการอื่นที่สภากิจการศาสนาอิสลามแห่งมาเลเซีย เป็นผู้แต่งตั้ง
ส่วนในระดับรัฐ การฟัตวาสามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบคือ การฟัตวาโดยสภาศาสนาอิสลา
หากว่าในประเทศไทยจะมีการฟัตวาปัญหาศาสนา ดังนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องมีมุฟตีย์ที่ทำการชี้ขาดปัญหาศาสนา แล้วสถานภาพของของคนไทยที่จะขึ้นเป็นมุฟตีย์นั้น มีคุณสมบัติที่สามารถฟัตวาได้หรือเปล่า เพราะคนที่จะทำการฟัตวาได้นั้น ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขมากมายจึงจะชี้ขาดบทบัญญัติศาสนาได้
ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ผู้มีสติปัญหาให้การยอมรับก็คือ บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์อิสลามนั้นไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน แต่พวกเขามีหลายระดับและหลายฐานะ และจากสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่แสวงหาวิชาความรู้ ก็คือ ต้องทราบถึงตำแหน่งและระดับของนักปราชญ์นิติศาสตร์ จนกระทั่งเขาสามารถนำมาอยู่ในลำดับแรกกับทัศนะของนักปราชญ์ที่เขาควรนำมาอยู่ก่อนและสามารถนำมาไว้ลำดับหลังกับทัศนะของนักปราชญ์ที่ควรนำมาอยู่หลัง
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามอัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ได้กล่าวว่า “การตระหนักถึงระดับความรู้ของนักปราชญ์นิติศาสตร์ การกล่าวถึงความประเสริฐ และอธิบายถึงความเลื่อมล้ำของพวกเขานั้น ถือว่าเป็นสุนัตสำหรับนักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟะกีฮ์) เพื่อให้มนุษย์พึ่งพาพวกเขาในเจริญรอยตามประเด็นที่มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น และก็ทำการยึดทัศนะของพวกเขา” ดู หนังสืออัลฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกีฮ์ เล่ม 2 หน้า 139
ท่านอัลค่อฏีบ ได้อ้างหลักฐานจากสิ่งดังกล่าวด้วยหะดิษมากมาย เช่นท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า
إنى لا أدرى ما قدر بقائى فيكم فأقتدوا بالذين من بعدى وأشار إلى أبى بكروعمر
“แท้จริง ฉันไม่รู้ว่าจะคงอยู่กับพวกท่านได้นานขนาดใหน ดังนั้น พวกท่านจงเจิรญรอยตาม 2 คนหลังจากฉัน แล้วท่านนบี(ซ.ล.) ก็ชี้ไปยังท่านอบูบักรและท่านอุมัร” รายงานโดย ท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์และอิบนุอบีชัยบะฮ์
ปวงปราชญ์ได้ทำการอธิบายถึงระดับขั้นต่างๆ ของนักปราชญ์นิติศาสตร์ไว้ในหนังสืออุซูลุลฟิกฮฺและหนังสือฟิกฮฺ ซึ่งส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่ทำการอธิบายถึงขั้นระดับต่างๆ ของนักปราชญ์นิติศาสตร์ คือ ท่านอิมาม มุหัดดิษ อบูอัมร์ อิบนุ เศาะลาห์ , ท่านอิมามอันนะวาวีย์ , ท่านอิบนุ หัมดาน อัลหัมบาลีย์ , ท่านอิบนุตัยมียะฮ์
(ของอัลเลาะฮ์ทรงเมตตาต่อพวกเขา) และท่านอื่นๆ
บทสรุปคำอธิบายของนักปราชญ์
นักปราชญ์นิติศาสตร์อิสลามแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
ประเภทที่ 1 . مجتهد مستقل นักปราชญ์ผู้วินิจฉัยเอกเทศน์ เหตุที่เรียกดังกล่าวนี้ เพราะเขาได้มีความเป็นเอกเทศน์ในการรอบรู้ถึงฮุกุ่มต่างๆ ของศาสนา ที่ได้รับมาจากหลักฐานต่างๆ โดยไม่ได้ทำการตักลีดนักปราชญ์คนใด และไม่จำกัดอยู่ในหลักพื้นฐานของการวินิจฉัยจากนักปราชญ์ที่อยู่ก่อนจากเขา
ดังนั้น นักปราชญ์นิติศาสตร์ประเภทนี้ ต้องมีบรรดาคุณลักษณะที่ทำให้เขามีคุณสมบัติในระดับสูงนี้
ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปราชญ์ของเรากล่าวว่า นักปราชญ์นิติศาสตร์ประเภทดังกล่าว ต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้
1. เขาจะต้องเที่ยงตรงในการรอบรู้ถึงบรรดาหลักฐานต่างๆ ของศาสนา จากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจญฺมาอ์ และกิยาส (เทียบเคียง) และสิ่งที่เกี่ยวข้องในเชิงรายละเอียด
2. เขาจะต้องรอบรู้ในเงื่อนไขของบรรดาหลักฐานต่างๆ , ข้อบ่งชี้ของมัน , และรู้ถึงวิธีการดึงหลักการต่างๆ จากหลักฐานเหล่านั้น ซึ่งกรณีนี้ศึกษาได้จากวิชามูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม
3. รอบรู้ถึงหลักการต่างๆ ของอัลกุรอาน หะดิษ ตัวบทที่มายกเลิก ตัวบทที่ถูกยกเลิก หลักไวยากรณ์ หลักภาษาอาหรับ หลักนิรุกศาสตร์ (ซ่อร๊อฟ) ทัศนะขัดแย้งและเห็นพ้องของปวงปราชญ์ ด้วยขนาดที่เขาสามารถนำมาเป็นองค์ประกอบในการอ้างหลักฐานและดึงหลักการออกมา
4. เขาต้องเป็นผู้มีความชำนาญและมีคุณสมบัติในการนำหลักการดังกล่าวมาใช้
5. เขาต้องรอบรู้ถึงหลักนิติศาสตร์ และจดจำประเด็นปัญหาและข้อปลีกย่อยต่างๆ ที่สำคัญ
ดังนั้น ผู้ใดที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ เขาก็สามารถเป็นมุฟตี มุจญฮิดมุฏลัก(ผู้ไม่จำกัดอยู่ในหลักมูลฐานการวินิจฉัยของปราชญ์ท่านอื่น) หรือมุจญฮิดมุสตะกิล(ผู้เป็นเอกเทศน์ในการวินิจฉัย) ซึ่งถือว่าเป็นฟัรดูกิฟายะฮ์
ส่วนหนึ่งจากผู้บรรดานักปราชญ์ได้มีมติสอดคล้องกันว่า บุคคลที่เป็นผู้ถึงขั้นระดับมุจญฮิดมุฏลักหรือมุสตะกิลนั้น อาทิเช่น ....
ระดับซอฮาบะฮ์ คือ ท่านอบูบักร , ท่านอุมัร , ท่านอุษมาน , ท่านอาลี , ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ มัสอูด , ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส , ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร , ท่านมุอาซฺ , และท่านอื่นๆ (ขออัลเลาะฮ์ทรงพึงพอพระทัยแก่พวกเขาด้วยเทอญ)
ตาบิอีน จากนักปราชญ์ทั้ง 7 แห่งนครมะดีนะฮ์ คือ ท่าน สะอีด อิบนุ อัลมุซัยยับ , ท่านอุรวะฮ์ บิน ซุบัยร์ , ท่านอัลกอซิม บิน มุหัมมัด , ท่านอบูบักร บิน อับดุรเราะหฺมาน , ท่านอับดุลเลาะฮ์ บิน อับดิลเลาะฮ์ บิน อุตบะฮ์ บิน มุสอูด , ท่านสุไลมาน บิน ยะซาร , ท่านคอริญะฮ์ บิน ซัยด์
ระดับตาบิอิตตาบิอีน เช่น ท่านซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ , ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , ท่านอบูหะนีฟะฮ์ , ท่านอิมามมาลิก , ท่าน อัลลัยษ์ บิน สะอัด , ท่านอัชชาฟิอีย์ , ท่านอัลเอาซะอีย์ , ท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล , และท่านอื่นๆ อีกมากมาย
ประเภทที่ 2 . มุฟตี(มุจญฮิด) ที่ไม่เป็นเอกเทศน์ แต่เขาได้ตามอิมามคนหนึ่งที่เป็นมุจญฮิดมุสตะกิล(นักวินิจฉัยที่เป็นเอกเทศน์) และทำการพาดพิงมัซฮับของเขาไปยังมัซฮับของอิมามท่านนั้น
นักปราชญ์ประเภทนี้ มีอยู่หลายระดับด้วยกัน
ระดับที่ 1 . المجتهد المطلق المنتسب ปราชญ์ผู้วินิจฉัยที่เป็นเอกเทศน์อีกทั้งพาดพิงไปยังมัซฮับอิมามท่านใดท่านหนึ่ง เหตุที่เรียกว่า المطلق (มุฏลัก) เพราะว่า การวินิจฉัยของเขานั้น ได้ครอบคลุมถึงประเด็นข้อปลีกย่อยต่างๆ ทางนิติศาสตร์หรือหลักมูลฐานและกฎต่างๆ ของนิติศาสตร์อิสลาม และเพราะว่าการวินิจฉัยของเขาได้อยู่ในทุกๆ วิชาการต่างๆ ที่เป็นมาตราในการวินิจฉัย และบรรดานักปราชญ์ที่อยู่ในระดับนี้ คือผู้ที่ถึงขั้นรับผู้ที่มีความรู้ขั้นสูง โดยที่พวกเขาก็มีเงื่อนไขและคุณสมบัติต่างๆ เช่นเดียวกับมุจญฮิดมุสตะกิล แต่เขาได้พาดพิงตนเองไปยังมัซฮับอิมามที่เขาตามอยู่ เพื่อเขาจะได้นำหลักการของอิมามท่านนั้นมาเป็นแนวทางในการวินิจฉัย ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้เป็นผู้ที่ตักลีดตามอิมามท่านนั้น หรือตามมัซฮับและหลักฐานของอิมามท่านนั้น และฟัตวาของปราชญ์ที่อยู่ในระดับขั้นนี้ ก็ย่อมเสมือนกับฟัตวาของมุจญตะฮิดมุฏลักซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติได้ และสามารถนับเข้ามามีบทบาทอยู่ในมติหรือการขัดแย้งของปวงปราชญ์ได้
ส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่มีคุณลักษณะถึงระดับขั้นนี้ อาทิเช่น อิมามอบูยูซุฟ , อิมามมุหัมมัด บิน หะซัน อัชชัยบานีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ , อิมามอิบนุ อัลกิซิม , อิมามอิบนุ วะฮฺบ์ , อิมามอัชฮับ จากนักปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ , อิมามอัลมุซะนีย์ ,อิมามอัลบุวัยฏีย์ , อิมามอิบนุ มุนซิร , อิมามอิบนุ ญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์
ระดับที่ 2 . أصحاب الوجوه (อัศฮาบ อัลวุญูฮ์) หรือ المجتهد المقيد(มุจญฮิดมุก๊อยยัด)
นักปราชญ์ระดับนี้ ย่อมมีระดับที่ต่ำกว่านักปราชญ์ระดับแรก เพราะฉะนั้น การวินิจฉัยของพวกเขาได้ถูกจำกัดอยู่ในมัซฮับอิมามของพวกเขา ดังนั้น นักปราชญ์ที่ถึงระดับนี้ จึงมีสามารถวิเคราะห์มัซฮับอิมามของพวกเขาด้วยกับหลักฐานได้ แต่เขาจะไม่วินิจฉัยหลักฐานต่างๆ ให้เกินเลยไปจากหลักมูลฐาน(อุซูล)และกฎเกณฑ์นิติศาสตร์(ก่อวาอิด)ต่างๆ ของมัซฮับอิมามของเขา
นักปราชญ์ระดับนี้ ต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้
1. เขาต้องรอบรู้หลักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์)
2. เขาต้องชำนาญในหลักวิชามูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม
3. เขาต้องรอบรู้บรรดาหลักฐาน ของฮุกุ่มต่างๆ แบบรายละเอียด
4. มีความรู้แจ้งในหลักการต่างๆ ของการกิยาส(เทียบเคียง) และความหมายภาษาอาหรับ
5. มีความชำนาญอย่างยิ่งในการดึงและวิเคราะห์ฮุกุ่มออกมา
6. เขาต้องมีความสามารถต้องการเทียบเคียงฮุกุ่มที่ไม่มีตัวบทมาระบุในมัซฮับอิมามของเขา ด้วยกับหลักมูลฐานและกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางด้านนิติศาสตร์ของอิมาม
นักปราชญ์ที่อยู่ในระดับนี้ จะไม่พ้นจากการตักลีดตามอิมาม สาเหตุดังกล่าว ก็คือ เขาไม่มีความถนัดในบางสาขาวิชาและหลักการต่างๆ ที่เป็นคุณลักษณะอยู่ในมุจญฮิดมุสตะกิล เช่น เขาไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาหะดิษและหลักวิชาภาษาอาหรับ
ท่านอิมามอิบนุ ศ่อลาห์ , ท่านอิมามอันนะวาวีย์ และท่านอื่นๆ ได้กล่าวอธิบายถึงคุณลักษณะของนักปราชญ์ระดับนี้ว่า “ส่วนมากแล้ว จะเกิดความบกพร่องด้วยกับสองวิชานี้ – คือหะดิษและหลักภาษาอาหรับ – จะเกิดขึ้นในตัวของนักปราชญ์มุจญฮิดมุก๊อยยัด
ท่านอิมามอิบนุศ่อลาห์ , ท่านอิมามนะวาวีย์ , ท่านอิมามอิบนุ หัมดาน อัลหัมบาลีย์ , และท่านอิมามอัชชาฏิบีย์ ได้กล่าวว่า “นักปราชญ์ระดับนี้ได้เอาตัวบทต่างๆ ของอิมามของเขามาเป็นหลักมูลฐานในการวินิจฉัย เฉกเช่นกับนักมุจญฮิดมุสตะกิลได้เอาตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮ์โดยตรงมาทำการวินิจฉัย
ระดับที่ 3 . مجتهد الفتوى ปราชญ์ผู้วินิจฉัยในด้านฟัตวา นักปราชญ์ระดับนี้ ไม่ถึงขั้นระดับนักปราชญ์ระดับที่สอง แต่เขามีหัวใจในความเป็นนักนิติศาสตร์ จดจำหลักการมัซฮับอิมาม รอบรู้ถึงบรรดาหลักฐานต่างๆ ของมัซฮับอิมาม มีความสามารถในการยืนยันหลักฐาน สามารถฉายประเด็น วางระเบียบ วิเคราะห์ วางบริบท ขัดเกลา และให้น้ำหนักได้ แต่เขามีระดับลดลงมาจากนักปราชญ์ระดับที่สอง เพราะเขามีความชำนาญในการวินิจฉัยและรอบรู้หลักมูลฐานนิตศาสตร์และอื่นๆ น้อยกว่านักปราชญ์ระดับที่สอง
ส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ระดับนี้ คือ ท่านอัฏเฏาะหาวีย์ , ท่านอัลกัรคีย์ , ท่านอัซซัรคอซีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ , ท่านอัลมาซิรีย์ , ท่านอัลกอฏีย์ อับดุลวะฮาบ , ท่านอัลกอฏีย์ อิยาฏ จากนักปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ , ท่านอิมามอัลฆอซะลีย์ , ท่านอัรรอฟิอีย์ , ท่านอิมามอันนะวาวีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ , ท่านอิบนุ อัลกุดามะฮ์ , ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ จากนักปราชญ์มัซฮับหัมบาลีย์
ระดับที่ 4 . أصحاب الترجيح فى المذهب คือ พวกเขาไม่มีความสามารถในการวินิจฉัย(อิจญติฮาด) แต่พวกเขามีความรอบรู้ในหลักมูลฐานนิติศาสตร์และมีความจำประเด็นต่างๆ ที่ได้รับจากหลักฐาน มีความสามารถอธิบายถึงรายละเอียดของทัศนะอันรวบรัดที่ตีความได้ทั้งสองแง่มุม หรือฮุกุ่มที่ยังมีความเข้าใจคลุมเครือที่สามารถตีความได้เป็นสองแนวทาง ซึ่งเป็นประเด็นที่ถ่ายทอดมาจากเจ้าของมัซฮับหรือจากบรรดาสานุศิษย์ของอิมามมัซฮับนั้น
ส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่อยู่ในระดับนี้ เช่น ท่านปรมาจารย์ อาลี อิบนุ อบีบักร อัลมิรฆีนานีย์ เจ้าของหนังสือ อัลฮิดายะฮ์ จากนักปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ , ท่านอัลหัฏฏ๊อบ นักปราชญ์จากมัซฮับมาลิกีย์ , ท่านอัลอิสนาวีย์ นักปราชญ์จากมัซฮับชาฟิอีย์ , ท่านอิบนุ มุฟลิหฺ นักปราชญ์จากมัซฮับหัมบาลีย์
ระดับที่ 5 . حفظة المذهب บรรดานักปราชญ์ที่จดจำหลักการของมัซฮับ คุณสมบัติของพวกเขา คือ นักปราชญ์ที่ทำการจดจำหลักการของมัซฮับ ทำการถ่ายทอด และเข้าใจในประเด็นต่างๆ ที่มีความชัดเจนและเข้าใจยาก แต่เขาไม่มีความสันทัดในการยืนยันหลักฐานและวิเคราะห์หลักการกิยาสของมัซฮับ ดังนั้น นักปราชญ์ระดับนี้ สามารถยึดการฟัตวาและการถ่ายทอดของเขาจากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในมัซฮับ
หรือจากตัวบทคำพูดของอิมามของเขาได้ และสามารถยึดการแจงรายละเอียดทัศนะของนักปราชญ์มุจญฮิดในมัซฮับของอิมามของเขาได้
จุดประสงค์ของการจดจำมัซฮับ คือ การที่หลักการส่วนมากของมัซฮับนั้น อยู่ในสมองของเขา และเขามีความชำนาญจากการรับรู้ส่วนประเด็นที่เหลือได้ไม่ยากนัก
ส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่อยู่ในระดับนี้ เช่น ท่านอิมาม อิบนุ นุญัยม์ , ท่านอิมามอิบนุอาบิดีน จากนักปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ , ท่านอิมามอัดดุซุกีย์ , ท่านอิมามอัศศอวีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ , ท่านอิมามอิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ , และท่านอิมามรอมลีย์ จากนักปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ , ท่านอิมามอัลมัดดาวีย์ , ท่านอิมามอัลบุฮูตี จากนักปราชญ์มัซฮับหัมบาลีย์
ระดับที่ 6 . المشتغل بالمذهب นักปราชญ์ที่สนใจหลักการของมัซฮับ ซึ่งคุณลักษณะนี้จะไม่สมควรได้รับนอกจาก 3 ประการ
1. เขาต้องรอบรู้ประเด็นการสังกัดมัซฮับ อย่างแท้จริงหรือโดยรวม
2. เขาต้องรอบรู้ถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ จากทัศนะที่ได้รับยึดถือของมัซฮับ
3. เขาต้องมีความชำนาญจากการรอบรู้อยู่ 3 ข้อ
ข้อ 1 . เขาต้องรู้ถึงศัพท์เชิงวิชการของมัซฮับ
ข้อ 2 . เขาต้องรู้หลักการต่างๆ ของมัซฮับ ซึ่งจะสามารถจะรู้ได้จาก 2 แหล่งด้วยกัน
แหล่งที่ 1 . บรรดากฎเกณฑ์และหลักมูลฐานต่างๆ ทางด้านนิติศาสตร์ของมัซฮับ ซึ่งศึกษาได้จาก วิชามูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม(อุซูลุลฟิกห์)
แหล่งที่ 2 . รู้ในด้านของเชิงปฏิบัติ ซึ่งสามารถรู้ได้จากวิชานิติศาสตร์อิสลาม(วิชาฟิกห์)
แหล่งที่ 3 . เขาต้องรู้ถึงบทต่างๆ ที่จะค้นคว้าประเด็นข้อปลีกย่อย เช่น เมื่อเขาต้องการจะทราบประเด็นเรื่อง การปิดเอาเราะฮ์ บทที่ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น คือ บทที่ว่าด้วยเรื่องการละหมาด ในบทย่อยของเงื่อนไขการละหมาด ในประเด็นย่อยของเงื่อนไขการปกปิดเอาเราะฮ์ และสามารถค้นคว้าประเด็นนี้ได้ใน เรื่องนิกาห์ บทที่ว่าด้วยเรื่อง การอนุญาตให้ชายผู้สู่ขอมองหญิงที่ถูกสู่ขอ
ดังนั้น ผมจึงอยากทราบว่า หากว่าวันนึง มีสภาพฟัตวาขึ้นมาจริงๆ ในเมืองไทย มุฟตีย์ของไทย จะอยู่ในขั้นไหน จากระดับขั้นเหล่านี้ครับ..