่สองพิราบ ตอนที่ 1


บิดาบอกว่า ศาสนาใหม่นี้ออกสู่โลกกว้างพร้อมกับมารยาท ประหนึ่งลมมรสุมที่พัดเข้าใส่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง ธรรมชาติที่กระทำต่อธรรมชาติ หลังจากมันพัดผ่านเลยไม่นาน ต้นไม้เหล่านั้นก็เขียวชอุ่ม เติบใหญ่ให้ร่มเงา มันสูงกว่าการเมืองที่มักจะเป็นเช่นการทาสีต้นไม้ที่เฉาตายไปแล้วให้เห็นเป็นต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่างแตกต่างกันเหลือเกินแม้จะมีสีสันเหมือนกันก็ตาม

     อัรมะนูสะฮฺ มีพี่เลี้ยงเป็นชาวต่างด้าวชื่อมาเรีย  นางมีรูปโฉมงดงามตามแบบโรมันเจือด้วยมนต์เสน่ห์แห่งอียิปต์  มาเรียเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดและฉลาดเฉลียว  มุเกากิสให้นางสอนศาสนาแก่บุตรีของตน          ฮิรากลิอุสแต่งตั้งมุเกากิสเป็นผู้ว่าการและพระแพทริกแห่งอียิปต์  อัลลอฮฺลิขิตให้อิสลามเข้ามาปกครองอียิปต์ในยุคของมุเกากิสนี้เอง  อัลลอฮฺทำให้หัวใจของมุเกากิสเป็นกุญแจไขประตูหัวใจชาวอียิปต์ที่ต่อต้าน

และทำการศึกกับอิสลามพอเป็นกระศัย  ในขณะที่ประตูหัวใจชาวโรมันเป็นกำแพงที่ถูกปิดตายไม่สามารถไขเปิดออกได้

นอกจากจะต้องพังทลายเข้าไป  กองทัพโรมันมีประมาณหนึ่งแสนนายพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์  ในขณะที่กองทัพอาหรับมีจำนวนประมาณสี่พันนาย     ในเวลาต่อมาได้มีกองกำลังมาสนับสนุนอีกรวมเป็นหนึ่งหมื่นสองพันนาย  เป็นกองทัพที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยพลังของมนุษย์ แต่จิตวิญญาณแห่งอิสลามทำให้พวกเขาเป็นประดุจระเบิดไดนาไมต

์ที่ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นในสงครามครั้งนี้ 

เมื่ออัมร์ มาตั้งฐานทัพที่บุลบัยส์  มาเรียกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยชาวโรมันโจษขานกันว่า ชาวอาหรับเป็นชนชาติที่อดอยาก ความแห้งแล้งบีบบังคับให้พวกเขาต้องออกไปทำสงครามยึดครองแว่นแคว้นต่างๆ   พวกเขากล่าวขานกันว่าพวกอาหรับเป็นประหนึ่งภูเขาทรายที่พายุพัดพามาปกคลุม

แหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์   เป็นนักฆ่าที่ทำสงครามเพื่อแสวงหาอาหารการกิน  จิตใจหยาบกระด้าง  ผู้หญิงของอาหรับมีสถานภาพประหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ไร้ค่า  เป็นพวกไม่รักษาสัญญา ไว้ใจไม่ได้  เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด  เป็นคนคดในข้องอในกระดูก   ยิ่งไปกว่านั้น อัมร์  บินอาศ แม่ทัพอาหรับเองก็เคยเป็นคนฆ่าสัตว์มาก่อน  วิญญาณของคนฆ่าสัตว์ยังคงสิงสู่อยู่ในร่างกายที่มาพร้อมกับกองทัพคนต่ำช้าสามานย์

หาใช่ทหารที่มีระเบียบวินัยเหมือนกับกองทัพทั่วไปไม่

            มาเรียเป็นนักกวี นางและอัรมานูสะฮฺเคยเรียนวรรณคดีและปรัชญาโรมัน

มาก่อน นางมีจินตนาการที่เกินจริง ประกอบกับความอ่อนไหวแห่งสตรีเพศ ทำให้นางเกิดความหวาดกลัว

            จิตใจของนางจึงหวั่นไหวและหวาดกลัว  นางจินตนาการเป็นบทกวีว่า

            “ โอ้เจ้าแพะที่น่าสงสารเอ๋ย คนฆ่าสัตว์สี่พันนายมาแล้ว

            ทุกเส้นขนของเธอจะต้องลิ้มรสการฆ่าก่อนถูกฆ่า

            โจรปล้นสวาทสี่พันนายมาแล้ว โอ้สาวน้อยที่น่าสงสารเอ๋ย

            เธอต้องตายสี่พันครั้งก่อนตาย

            โอ้พระเจ้า โปรดมอบมีดให้ฝังอยู่ในอกฉันเพื่อป้องกันคนฆ่าสัตว์

            โอ้พระเจ้า  จงปกป้องสาวน้อยคนนี้ ให้ความตายมาสมรสกับนางก่อนที่จะสมรสกับชาวอาหรับ ”

 

นางกล่าวบทกวีให้อัรมะนูสะฮฺฟังด้วยสำเนียงโศกสลด   อัรมะนูสะฮฺหัวเราะร่วนและกล่าวว่า  “ มาเรีย  คิดมากเกินไปแล้ว เธอลืมไปแล้วหรือว่า บิดาได้ส่งบุตรีอันศินา ( หมายถึงนางมาเรียภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดา )  นางไปอยู่ในอาณาจักรแห่งฟ้าและจิตวิญญาณ  บิดาบอกว่าต้องการให้นางไปสืบหาความจริงของศาสนาและศาสดานั้น  นางได้ส่งสายลับมาส่งข่าวแก่ท่านว่า  เหล่ามุสลิมเป็นปัญญาชนรุ่นใหม่ที่จะมาชี้แจงข้อเท็จจริงแก่มนุษย์   ศาสดาของพวกเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าปุยเมฆในท้องนภา  พวกเขาทำสิ่งใดก็จะอยู่ภายใต้การบัญชาของศาสนาและความดีงาม มิใช่อารมณ์ใฝ่ต่ำ   หากจะชักดาบออกมาก็จะเป็นไปตามกฎหมาย หากจะเก็บดาบก็ตามกฎหมาย  มาเรียกล่าวถึงเรื่องผู้หญิงว่า  ผู้หญิงกลัวบิดาของตนเองจะทำร้ายมากกว่าที่จะกลัวศาสดาและสหายของท่าน   เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหัวใจและปัญญาไปพร้อมๆกัน  ความเคร่งครัดของชายคนหนึ่งเป็นประดุจดังอาวุธที่จะคุกคามผู้ละเมิด

                   บิดาบอกฉันว่า  พวกเขาไม่ได้ทำสงครามกับประชาชาติอื่นๆ เหมือนกับรัฐทั่วไป  แต่เป็นธรรมชาติของศาสนาใหม่ที่ออกไปสู่โลกโลกกว้าง ไปพร้อมกับอาวุธและมารยาท   เข้มแข็งทั้งกายและใจ   เบื้องหลังอาวุธร้ายมีมารยาทอันงดงาม  ทำให้อาวุธของพวกเขาก็มีมารยาทเช่นเดียวกัน

          บิดาบอกว่า  ศาสนาใหม่นี้ออกไปสู่โลกกว้างไปพร้อมกับมารยาท ประหนึ่งลมมรสุมที่พัดเข้าใส่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง   ธรรมชาติที่กระทำต่อธรรมชาติ   หลังจากมันพัดผ่านเลยไม่นาน ต้นไม้เหล่านั้นก็เขียวชอุ่ม เติบใหญ่ให้ร่มเงา   มันสูงกว่าการเมืองที่มักจะเป็นเช่นการทาสีต้นไม้ที่เฉาตายไปแล้วให้เห็นเป็นต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่  ช่างแตกต่างกันเหลือเกินแม้จะมีสีสันเหมือนกันก็ตาม

            ได้ยินดังนั้น  มาเรียก็อุ่นใจต่อความเชื่อมั่นของอัรมะนูสะฮฺ  นางกล่าวว่า  “ งั้นเราก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดใช่ใหม หากว่าพวกเขาเอาชนะประเทศของเราได้

             “ ไม่มีอะไรหรอก  เราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ   มุสลิมไม่เหมือนกับชาวโรมันที่เข้ามาเพราะความมักมากในทรัพย์สิน    ไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่  ในขณะที่พวกเขาหยาบกระด้างประดุจสัตว์ป่า  แต่ไม่ใยดีต่อทรัพย์ทางโลก ใส่ใจต่อความถูกต้องในการได้มาของทรัพย์เหล่านั้น  พวกเขามีความเป็นคนที่มีเมตตาและรักความถูกต้อง ” อัรมะนูสะฮฺตอบ 

                          “ ขอสาบานต่อบิดาของเธอ   เช่นนี้นับเป็นเรื่องประหลาดนัก  โสคราติส เพลโต และอริสโตเติลตายไป แต่พวกเขาไม่สามารถสั่งสอนใครได้นอกจากตำราที่เขียนไว้ การปรากฎตัวของพวกนักปรัชญาเหล่านั้น  อย่าว่าแต่เป็นดั่งเช่นกลุ่มชนมุสลิมที่เธอกล่าวถึงเลย แม้กระทั่งการเป็นคนที่สมบูรณ์ก็ยังทำไม่ได้   นบีของพวกเขา ผู้ที่ไม่รู้จักอ่านเขียนสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?  หรือว่าตัวตนแห่งความจริงไม่แยแสต่อนักปรัชญา นักคิด นักปกครองชั้นนำ แต่กลับยอมสยบต่อมานพหนุ่มที่ไม่รู้อ่านเขียน ไม่เคยร่ำเรียนไม่เคยศึกษาวิทยาการใดๆ ? ” มาเรียกล่าวเสริม

                        อัรมะนูสะฮฺกล่าวต่อว่า  “ นักปราชญ์ประดุจดังห้วงเวหาและดาราในวงโคจรต่างๆ  พวกเขาไม่ใช่ผู้ทำให้แสงอรุณสาดส่อง   ฉันคิดว่าจะต้องมีกลุ่มชนหนึ่งที่ตามคุณลักษณะโดยธรรมชาติแล้ว เป็นผู้ทำหน้าที่สร้างแนวคิดที่ถูกต้องและอยู่กับความเป็นจริง   ฉันเคยอ่านประวัติชีวิตของพระแมซซิอาห์  ตลอดอายุขัยของท่าน ได้เพียรพร่ำสร้างสรรค์กลุ่มชนเฉกนั้น  แม้ว่าจะทำได้เพียงส่วนเล็กๆ ที่เกิดชึ้นกับตัวท่านและสหายไม่กี่คน  และเป็นเพียงการริเริ่มที่บ่งชี้ว่าสิ่งนั้นมีความเป็นไปได้เท่านั้น

          ความจริงที่ปรากฎจากชายผู้ไม่รู้หนังสือคนนี้ เป็นการที่ความจริงชี้ถึงตนเอง เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นปรากฎการณ์ของพระเจ้า  มาเรีย ที่แปลกคือชายคนนี้ถูกเผ่าพันธุ์ของตนปฎิเสธ  และร่วมกันต่อต้านท่าน เหมือนที่ปรากฎกับพระแมซซิอาห์ เพียงแต่พระแมซซิอาห์หยุดลงตรงนั้น  แต่ท่านยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว และอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอน  นั่นเป็นก้าวแรกที่ความจริงป่าวประกาศว่ามันจะออกไปยังโลกกว้าง และเริ่มสัญจรตั้งแต่บัดนั้น หากว่าความจริงของพระแมซซิอาห์เป็นสิ่งที่ถูกส่งมาเพื่อชาวโลกทั้งผอง แน่นอนท่านก็จะตัองอพยพด้วย นี่จึงเป็นความแตกต่างที่สอง  ส่วนความแตกต่างที่สามคือพระแมซซิอาห์มาพร้อมกับการเคารพสักการะ

ประการเดียวคือการเคารพสักการะในมิติด้านจิตใจเท่านั้น  ส่วนศาสนานี้ บิดาบอกฉันว่า  มันมาพร้อมกับการเคารพสักการะสามมิติที่ค้ำจุนต่อกันและกัน  ได้แก่มิติด้านอวัยวะ  ด้านหัวใจ และด้านจิต  การเคารพสักการะทางอวัยวะคือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ของมันอยู่เสมอ การเคารพสักการะทางใจ คือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ทางใจและการชื่นชมต่อความดีงาม  การเคารพสักการะทางกาย คือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ทางกายและการเสียสละร่างกายเพื่อมวลมนุษย์     ตามทัศนะของบิดาแล้วลักษณะสุดท้ายนี้จะทำให้พวกเขาครองโลก  ประชาชาติที่มีความศรัทธาว่าความตายเป็นทนทางที่แสนสุขและปลอดโปร่งย่อม

ไม่มีผู้ใดเอาชนะพวกเขาได้ ”  “ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นี่เป็นความลับของพระเจ้า  เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะทำตามอารมณ์โดยไม่สนใจใยดีต่อการเป็นตายร้ายดี

แต่อย่างใด นอกจากในบางขณะ  ปกติแล้วมนุษย์มักจะอยู่ในความตาบอดเสมอ   ความโกรธทำให้ตาบอด  ความรักทำให้ตาบอด  ความอวดดีทำให้ตาบอด  แต่ประชาชาติอิสลามตามที่เธอพูดมา  กลับตื่นตัว มีสติอันสูงสุดเสมอ   จึงไม่ต้องมีหลักฐานอื่นใดอีกแล้ว ที่จะมาพิสูจน์ถึงความสูงส่งของศาสนานี้ เพราะสิ่งนี้เป็นที่สุดของที่สุดแห่งปรัชญาและศาสตร์ ”  มาเรียกล่าวเสริม 

              “  ฉะนั้น จึงไม่ต้องมีหลักฐานอื่นใดอีกแล้ว ที่จะมาพิสูจน์ว่าเธอพร้อมจะเป็นมุสลิม มาเรีย ” อัรมะนูสะฮฺกล่าว

            ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน  มาเรียกล่าวขึ้นว่า “ นายท่านกล่าวคำที่ทาสหญิงของท่านไม่มีคำอธิบายใดๆอีก  ฉันและนายท่านเป็นเพียงสองความคิด มิได้เป็นสองมุสลิม

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

หมายเลขบันทึก: 363207เขียนเมื่อ 2 มิถุนายน 2010 16:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ยินดีต้อนรับกลับบ้านอย่างเป็นทางการครับ

ดีใจที่ได้อ่านสิ่งดีๆ มีคุณค่าครับ

ขอบคุณครับอาจารย์

กรรมการเคาะระฆังให้เริ่มชกยกใหม่กันอีกครั้งครับ

คมคิดคมเขียนและคมคุณค่า...ยินดีและดีใจที่ได้อ่านงานเขียนของท่านอาจารย์ครับ

 

ด้วยความยินดีครับอาจารย์ มีอะไรแนะนำได้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท