อัรมะนูสะฮฺ มีพี่เลี้ยงเป็นชาวต่างด้าวชื่อมาเรีย นางมีรูปโฉมงดงามตามแบบโรมันเจือด้วยมนต์เสน่ห์แห่งอียิปต์ มาเรียเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดและฉลาดเฉลียว มุเกากิสให้นางสอนศาสนาแก่บุตรีของตน ฮิรากลิอุสแต่งตั้งมุเกากิสเป็นผู้ว่าการและพระแพทริกแห่งอียิปต์ อัลลอฮฺลิขิตให้อิสลามเข้ามาปกครองอียิปต์ในยุคของมุเกากิสนี้เอง อัลลอฮฺทำให้หัวใจของมุเกากิสเป็นกุญแจไขประตูหัวใจชาวอียิปต์ที่ต่อต้าน
และทำการศึกกับอิสลามพอเป็นกระศัย ในขณะที่ประตูหัวใจชาวโรมันเป็นกำแพงที่ถูกปิดตายไม่สามารถไขเปิดออกได้
นอกจากจะต้องพังทลายเข้าไป กองทัพโรมันมีประมาณหนึ่งแสนนายพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ ในขณะที่กองทัพอาหรับมีจำนวนประมาณสี่พันนาย ในเวลาต่อมาได้มีกองกำลังมาสนับสนุนอีกรวมเป็นหนึ่งหมื่นสองพันนาย เป็นกองทัพที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยพลังของมนุษย์ แต่จิตวิญญาณแห่งอิสลามทำให้พวกเขาเป็นประดุจระเบิดไดนาไมต
์ที่ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นในสงครามครั้งนี้
เมื่ออัมร์ มาตั้งฐานทัพที่บุลบัยส์ มาเรียกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยชาวโรมันโจษขานกันว่า ชาวอาหรับเป็นชนชาติที่อดอยาก ความแห้งแล้งบีบบังคับให้พวกเขาต้องออกไปทำสงครามยึดครองแว่นแคว้นต่างๆ พวกเขากล่าวขานกันว่าพวกอาหรับเป็นประหนึ่งภูเขาทรายที่พายุพัดพามาปกคลุม
แหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ เป็นนักฆ่าที่ทำสงครามเพื่อแสวงหาอาหารการกิน จิตใจหยาบกระด้าง ผู้หญิงของอาหรับมีสถานภาพประหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่ไร้ค่า เป็นพวกไม่รักษาสัญญา ไว้ใจไม่ได้ เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด เป็นคนคดในข้องอในกระดูก ยิ่งไปกว่านั้น อัมร์ บินอาศ แม่ทัพอาหรับเองก็เคยเป็นคนฆ่าสัตว์มาก่อน วิญญาณของคนฆ่าสัตว์ยังคงสิงสู่อยู่ในร่างกายที่มาพร้อมกับกองทัพคนต่ำช้าสามานย์
หาใช่ทหารที่มีระเบียบวินัยเหมือนกับกองทัพทั่วไปไม่
มาเรียเป็นนักกวี นางและอัรมานูสะฮฺเคยเรียนวรรณคดีและปรัชญาโรมัน
มาก่อน นางมีจินตนาการที่เกินจริง ประกอบกับความอ่อนไหวแห่งสตรีเพศ ทำให้นางเกิดความหวาดกลัว
จิตใจของนางจึงหวั่นไหวและหวาดกลัว นางจินตนาการเป็นบทกวีว่า
“ โอ้เจ้าแพะที่น่าสงสารเอ๋ย คนฆ่าสัตว์สี่พันนายมาแล้ว
ทุกเส้นขนของเธอจะต้องลิ้มรสการฆ่าก่อนถูกฆ่า
โจรปล้นสวาทสี่พันนายมาแล้ว โอ้สาวน้อยที่น่าสงสารเอ๋ย
เธอต้องตายสี่พันครั้งก่อนตาย
โอ้พระเจ้า โปรดมอบมีดให้ฝังอยู่ในอกฉันเพื่อป้องกันคนฆ่าสัตว์
โอ้พระเจ้า จงปกป้องสาวน้อยคนนี้ ให้ความตายมาสมรสกับนางก่อนที่จะสมรสกับชาวอาหรับ ”
นางกล่าวบทกวีให้อัรมะนูสะฮฺฟังด้วยสำเนียงโศกสลด อัรมะนูสะฮฺหัวเราะร่วนและกล่าวว่า “ มาเรีย คิดมากเกินไปแล้ว เธอลืมไปแล้วหรือว่า บิดาได้ส่งบุตรีอันศินา ( หมายถึงนางมาเรียภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดา ) นางไปอยู่ในอาณาจักรแห่งฟ้าและจิตวิญญาณ บิดาบอกว่าต้องการให้นางไปสืบหาความจริงของศาสนาและศาสดานั้น นางได้ส่งสายลับมาส่งข่าวแก่ท่านว่า เหล่ามุสลิมเป็นปัญญาชนรุ่นใหม่ที่จะมาชี้แจงข้อเท็จจริงแก่มนุษย์ ศาสดาของพวกเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าปุยเมฆในท้องนภา พวกเขาทำสิ่งใดก็จะอยู่ภายใต้การบัญชาของศาสนาและความดีงาม มิใช่อารมณ์ใฝ่ต่ำ หากจะชักดาบออกมาก็จะเป็นไปตามกฎหมาย หากจะเก็บดาบก็ตามกฎหมาย มาเรียกล่าวถึงเรื่องผู้หญิงว่า ผู้หญิงกลัวบิดาของตนเองจะทำร้ายมากกว่าที่จะกลัวศาสดาและสหายของท่าน เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหัวใจและปัญญาไปพร้อมๆกัน ความเคร่งครัดของชายคนหนึ่งเป็นประดุจดังอาวุธที่จะคุกคามผู้ละเมิด
บิดาบอกฉันว่า พวกเขาไม่ได้ทำสงครามกับประชาชาติอื่นๆ เหมือนกับรัฐทั่วไป แต่เป็นธรรมชาติของศาสนาใหม่ที่ออกไปสู่โลกโลกกว้าง ไปพร้อมกับอาวุธและมารยาท เข้มแข็งทั้งกายและใจ เบื้องหลังอาวุธร้ายมีมารยาทอันงดงาม ทำให้อาวุธของพวกเขาก็มีมารยาทเช่นเดียวกัน
บิดาบอกว่า ศาสนาใหม่นี้ออกไปสู่โลกกว้างไปพร้อมกับมารยาท ประหนึ่งลมมรสุมที่พัดเข้าใส่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง ธรรมชาติที่กระทำต่อธรรมชาติ หลังจากมันพัดผ่านเลยไม่นาน ต้นไม้เหล่านั้นก็เขียวชอุ่ม เติบใหญ่ให้ร่มเงา มันสูงกว่าการเมืองที่มักจะเป็นเช่นการทาสีต้นไม้ที่เฉาตายไปแล้วให้เห็นเป็นต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่างแตกต่างกันเหลือเกินแม้จะมีสีสันเหมือนกันก็ตาม ”
ได้ยินดังนั้น มาเรียก็อุ่นใจต่อความเชื่อมั่นของอัรมะนูสะฮฺ นางกล่าวว่า “ งั้นเราก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดใช่ใหม หากว่าพวกเขาเอาชนะประเทศของเราได้ ”
“ ไม่มีอะไรหรอก เราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ มุสลิมไม่เหมือนกับชาวโรมันที่เข้ามาเพราะความมักมากในทรัพย์สิน ไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ ในขณะที่พวกเขาหยาบกระด้างประดุจสัตว์ป่า แต่ไม่ใยดีต่อทรัพย์ทางโลก ใส่ใจต่อความถูกต้องในการได้มาของทรัพย์เหล่านั้น พวกเขามีความเป็นคนที่มีเมตตาและรักความถูกต้อง ” อัรมะนูสะฮฺตอบ
“ ขอสาบานต่อบิดาของเธอ เช่นนี้นับเป็นเรื่องประหลาดนัก โสคราติส เพลโต และอริสโตเติลตายไป แต่พวกเขาไม่สามารถสั่งสอนใครได้นอกจากตำราที่เขียนไว้ การปรากฎตัวของพวกนักปรัชญาเหล่านั้น อย่าว่าแต่เป็นดั่งเช่นกลุ่มชนมุสลิมที่เธอกล่าวถึงเลย แม้กระทั่งการเป็นคนที่สมบูรณ์ก็ยังทำไม่ได้ นบีของพวกเขา ผู้ที่ไม่รู้จักอ่านเขียนสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ? หรือว่าตัวตนแห่งความจริงไม่แยแสต่อนักปรัชญา นักคิด นักปกครองชั้นนำ แต่กลับยอมสยบต่อมานพหนุ่มที่ไม่รู้อ่านเขียน ไม่เคยร่ำเรียนไม่เคยศึกษาวิทยาการใดๆ ? ” มาเรียกล่าวเสริม
อัรมะนูสะฮฺกล่าวต่อว่า “ นักปราชญ์ประดุจดังห้วงเวหาและดาราในวงโคจรต่างๆ พวกเขาไม่ใช่ผู้ทำให้แสงอรุณสาดส่อง ฉันคิดว่าจะต้องมีกลุ่มชนหนึ่งที่ตามคุณลักษณะโดยธรรมชาติแล้ว เป็นผู้ทำหน้าที่สร้างแนวคิดที่ถูกต้องและอยู่กับความเป็นจริง ฉันเคยอ่านประวัติชีวิตของพระแมซซิอาห์ ตลอดอายุขัยของท่าน ได้เพียรพร่ำสร้างสรรค์กลุ่มชนเฉกนั้น แม้ว่าจะทำได้เพียงส่วนเล็กๆ ที่เกิดชึ้นกับตัวท่านและสหายไม่กี่คน และเป็นเพียงการริเริ่มที่บ่งชี้ว่าสิ่งนั้นมีความเป็นไปได้เท่านั้น
ความจริงที่ปรากฎจากชายผู้ไม่รู้หนังสือคนนี้ เป็นการที่ความจริงชี้ถึงตนเอง เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นปรากฎการณ์ของพระเจ้า มาเรีย ที่แปลกคือชายคนนี้ถูกเผ่าพันธุ์ของตนปฎิเสธ และร่วมกันต่อต้านท่าน เหมือนที่ปรากฎกับพระแมซซิอาห์ เพียงแต่พระแมซซิอาห์หยุดลงตรงนั้น แต่ท่านยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว และอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอน นั่นเป็นก้าวแรกที่ความจริงป่าวประกาศว่ามันจะออกไปยังโลกกว้าง และเริ่มสัญจรตั้งแต่บัดนั้น หากว่าความจริงของพระแมซซิอาห์เป็นสิ่งที่ถูกส่งมาเพื่อชาวโลกทั้งผอง แน่นอนท่านก็จะตัองอพยพด้วย นี่จึงเป็นความแตกต่างที่สอง ส่วนความแตกต่างที่สามคือพระแมซซิอาห์มาพร้อมกับการเคารพสักการะ
ประการเดียวคือการเคารพสักการะในมิติด้านจิตใจเท่านั้น ส่วนศาสนานี้ บิดาบอกฉันว่า มันมาพร้อมกับการเคารพสักการะสามมิติที่ค้ำจุนต่อกันและกัน ได้แก่มิติด้านอวัยวะ ด้านหัวใจ และด้านจิต การเคารพสักการะทางอวัยวะคือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ของมันอยู่เสมอ การเคารพสักการะทางใจ คือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ทางใจและการชื่นชมต่อความดีงาม การเคารพสักการะทางกาย คือการระวังรักษาความบริสุทธิ์ทางกายและการเสียสละร่างกายเพื่อมวลมนุษย์ ตามทัศนะของบิดาแล้วลักษณะสุดท้ายนี้จะทำให้พวกเขาครองโลก ประชาชาติที่มีความศรัทธาว่าความตายเป็นทนทางที่แสนสุขและปลอดโปร่งย่อม
ไม่มีผู้ใดเอาชนะพวกเขาได้ ” “ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นี่เป็นความลับของพระเจ้า เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะทำตามอารมณ์โดยไม่สนใจใยดีต่อการเป็นตายร้ายดี
แต่อย่างใด นอกจากในบางขณะ ปกติแล้วมนุษย์มักจะอยู่ในความตาบอดเสมอ ความโกรธทำให้ตาบอด ความรักทำให้ตาบอด ความอวดดีทำให้ตาบอด แต่ประชาชาติอิสลามตามที่เธอพูดมา กลับตื่นตัว มีสติอันสูงสุดเสมอ จึงไม่ต้องมีหลักฐานอื่นใดอีกแล้ว ที่จะมาพิสูจน์ถึงความสูงส่งของศาสนานี้ เพราะสิ่งนี้เป็นที่สุดของที่สุดแห่งปรัชญาและศาสตร์ ” มาเรียกล่าวเสริม
“ ฉะนั้น จึงไม่ต้องมีหลักฐานอื่นใดอีกแล้ว ที่จะมาพิสูจน์ว่าเธอพร้อมจะเป็นมุสลิม มาเรีย ” อัรมะนูสะฮฺกล่าว
ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน มาเรียกล่าวขึ้นว่า “ นายท่านกล่าวคำที่ทาสหญิงของท่านไม่มีคำอธิบายใดๆอีก ฉันและนายท่านเป็นเพียงสองความคิด มิได้เป็นสองมุสลิม ”
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
ยินดีต้อนรับกลับบ้านอย่างเป็นทางการครับ
ดีใจที่ได้อ่านสิ่งดีๆ มีคุณค่าครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
กรรมการเคาะระฆังให้เริ่มชกยกใหม่กันอีกครั้งครับ
คมคิดคมเขียนและคมคุณค่า...ยินดีและดีใจที่ได้อ่านงานเขียนของท่านอาจารย์ครับ
ด้วยความยินดีครับอาจารย์ มีอะไรแนะนำได้ครับ