ปรัชญาของฮัจย์


ฮัจย์เป็นรูก่นอิสลามข้อที่ห้า

ปรัชญาของฮัจย์

        ฮัจย์คือการรวมตัวของมนุษย์ชาติที่ใหญ่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถรวบรวมประชาคมโลกที่ก้าวพ้นพรมแดนแห่งชาติพันธ์ ภาษาและวัฒนธรรม มุสลิมทุกคนต้องประกอบพิธีฮัจย์แม้เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากมีความสามารถ ฮัจย์คือเทศกาลประจำปีระดับนานาชาติที่เชิญชวนและเรียกร้องมนุษย์ชาติให้หวนรำลึกและฟื้นฟูบรรยากาศแห่งอีหม่าน การตักวา การยึดมั่นในคำสอน การฝึกฝนความเป็นน้ำหนึ่งเดียว รับทราบ ศึกษาและร่วมแก้ไขวิกฤติปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพและศักดิ์ศรีของอิสลามและมุสลิม

            มุสลิมทุกคนจึงใฝ่ฝันที่จะประกอบพิธีฮัจย์และมีใจที่ผูกพันกับบัยตุลลอฮฺทุกอณูชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับฮัจย์มับรูร ที่ไม่มีผลตอบแทนใดๆ ที่คู่ควรเว้นแต่สรวงสรวรรค์ของอัลลอฮฺเท่านั้น ฮัจย์มับรูรจึงแฝงด้วยปรัชญาอันมากมาย ส่วนหนึ่งสรุปได้ดังนี้

1. ฮัจย์คือสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพ

            เอกภาพด้านการศรัทธา ซึ่งผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์เพียงเพื่ออัลลอฮฺและมุ่งมั่นสืบสานจริยวัตรของท่านนาบีมูฮัมมัด (ซ.ล) เท่านั้น

        เอกภาพด้านการปฏิบัติ ซี่งผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องปฎิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขต่างๆของฮัจย์ด้วยรูบแบบที่เหมือนกัน ในช่วงเวลาอันเดียวกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ลักษณะการแต่งกายที่เหมือนกัน ภายใต้การนำแห่งต้นแบบของผู้นำคนเดียวกันคือนบีมูฮัมมัด(ซ.ล) โดยผ่านการอรรถาธิบายของนักวิชาการมุสลิมที่ได้รับการยอมรับ

2. ฮัจย์คือภาพสะท้อนแห่งศาสน์สากลของอิสลาม

            การก่อสร้างประภาคารแห่งอิสลามได้เริ่มต้นด้วยบรรยากาศแห่งสากล ดังจะเห็นได้จากบรรดาเศาะฮาบะฮฺรุ่นแรกที่เป็นเสาหลักแห่งการเผยแผ่อิสลามซึ่งประกอบด้วยอะบูบักร์ที่มาจากตระกูลกุเรชอาหรับ ศุฮัยบฺจากกรุงโรม บิลาลทาสผู้เสียสละจากอะบิสซีเนีย ซัลมานผู้ดั้นด้นแสวงหาสัจธรรมจากเปอร์เซีย ตลอดจนชาวอาหรับที่ครั่งใคล้และยึดมมั่นในเผ่าพันธุ์วงค์ตระกูลอิสลามสามารถผนวกรวมผู้คนเหล่านั้นให้อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งอิสลาม และเลื่อมใสศรัทธาคำสอนของนบีมูฮัมมัด(ซ.ล)ที่ได้กล่าวไว้มีความว่า “ท่านทั้งหลาย จงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺฉันท์พี่น้องกันเถิด” (บุคอรีและมุสลิม)

            คลื่นมหาชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศที่กำลังตอวาฟรอบๆ บัยตุลลอฮฺ ทำให้เรานึกถึงดาวเคราะห์ต่างๆในระบบสุริยะจักรวาลซึ่งล้วนเป็นบริวารที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในขณะที่ดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวเคราะห์เพียงดวงหนึ่งในระบบแกแลกซี่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่ต้องโคจรตามระบบที่ถูกกำหนดไว้ เช่นเดียวกับมนุษย์บนโลกนี้ ที่ต้องโคจรตามระบบบัยตุลลอฮฺ ไม่ว่าขณะตอวาฟหรือขณะดำรงละหมาดที่มุสลิมทั่วโลกต่างผินหน้าไปยังบัยตุลลอฮฺเป็นประจำอย่างน้อย 5  ครั้งต่อวัน ในขณะที่บัยตุลลอฮฺก็เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงถึงความนอบน้อมและศิโรราบภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺผู้บริหารสากลจักรวาล

3. ฮัจย์คือการปฎิเสธความเหลื่อมล้ำและวรรณะของมนุษย์

            อิสลามปฏิเสธระบบที่วางมนุษย์บนขั้นบันไดของชนชั้นวรรณะ อิสลามสอนว่าทุกคนไม่มีสิทธิวางก้ามแสดงตนเหนือคนอื่นเนื่องจากความแตกต่างด้านชาติพันธุ์หรือสีผิว ไม่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างยาจกกับมหาเศรษฐี ชนผิวขาวกับผิวดำ นายหรือบ่าวไพร่ เจ้าหน้าที่หรือประชาราษฎร์ ทุกคนจะอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด เมื่อผู้ประกอบพิธีฮัจย์เริ่มตั้งใจอิหฺรอมที่มีก๊อต(มีกอต หมายถึง จุดพรมแดนที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องตั้งใจและปฏิบัติตามเงื่อนไขของฮัจย์)  โดยการห่มกายด้วยผ้าขาวสองผืน ซึ่งเปรียบเสมือนแม่น้ำลำคลองจำนวนล้านๆสายที่ไหลบรรจบเข้าสู่มหาสมุทรซึ่งกลายเป็นน้ำทะเลที่มีลักษณะเดียวกันหมด ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเป็นจำนวนล้านๆคน ก็จะกลายเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันเมื่อเข้ามาบรรจบ ณ มีก๊อตเพื่อหลอมรวมเข้าสู่มหาสมุทรแห่งกระบวนการฮัจย์อย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนไม่มีสิทธิแอบอ้างความเป็นอภิสิทธิชน เว้นแต่ด้วยการตักวา (การยำเกรงต่อพระเจ้าเท่านั้น)

4. อัจย์คือโอกาสให้มุสลิมหวนรำลึกประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของอิสลาม

            ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ได้ประจักษ์ด้วยสายตาถึงแหล่งกำเนิดของรัศมีที่ได้เจิดจรัสทั่วสากล ซึ่งจุดประกายโดยนาบีมูฮัมมัด(ซ.ล) ได้สัมผัสร่องรอยการเสียสละของบรรดาซอฮาบะห์ ตลอดจนหวนรำลึกการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของสามพ่อแม่ลูก(นาบีอิบรอฮีม นาบีอิสมาอีลและฮาญัร) ซึ่งกลายเป็นต้นตำรับของการประกอบพิธีฮัจย์ที่มีการสืบสานมาโดยอนุชนรุ่นหลังเป็นเวลานับพันๆปีและจะยังคงอยู่จนสิ้นฟ้าแผ่นดิน บรรดาฮุจญาจสามารถอ่านตำราเล่มใหญ่นี้ด้วยการพินิจพิเคราะห์จากสถานที่จริง เพื่อนำเป็นบทเรียน เติมเต็มกำลังใจและข้อเตือนสติตลอดไป

5. ฮัจย์คือกระบวนการพัฒนาจิตวิญญาณและขัดเกลาจิตใจ

            ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ได้รับโอกาสพัฒนาและขัดเกลาจิตใจให้สูงส่ง ตัดขาดจากความโกลาหลของโลกดุนยา พวกเขาสวมใส่ผ้า 2 ผืนที่ไม่การเย็บปักถักร้อย ไม่สามารถแม้กระทั่งใส่น้ำหอม หรือร่วมหลับนอนกับภรรยาของตน ผู้ที่กำลังประกอบพิธีฮัจย์นั้น พวกเขากำลังสลัดทิ้งการใช้ชีวิตอย่างปกติ สู่การเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่สำรวม หัวใจที่ยำเกรง ลิ้นที่หมั่นเปล่งเสียงตัลบียะห์ ดุอา ซิกิร อ่านอัลกุรอ่าน เพื่อป่าวประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ มีจิตใจที่สำรวมและสำนึกในความผิดพลาดของตนเอง

            บรรยากาศของผู้ประกอบพิธีฮัจย์ที่กำลังสะอีย์ระหว่างเขาซอฟาและเขามัรวะห์จำนวนเจ็ดรอบนั้น เป็นการเสี้ยมสอนให้มุสลิมตระหนักว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง หากมุสลิมเดินบนเส้นทางอันเที่ยงตรงควบคู่กับการยึดมั่นธงนำที่ถูกต้องแล้ว มุสลิมจะก้าวหลักชัยและไม่มีวันหลงทางเป็นอันขาด

            เส้นทางอันเที่ยงตรงสำหรับมนุษย์ชาติคืออิสลาม ในขณะที่ธงนำที่ได้รับการประกันความถูกต้องคือ อัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ ที่ผ่านการอรรถาธิบายจากบรรดานักวิชาการมุสลิมที่ได้รับการยอมรับ

6. ฮัจย์คือการสัญจรสู่ถนนแห่งอาคีเราะห์

            ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนซึ่งจำต้องห่างเหินกับครอบครัว พี่น้องผองเพื่อนและบ้านเกิด เปรียบเสมือนผู้ที่พรากจากโลกดุนยา ซึ่งต้องสูญสิ้นทุกอย่างแม้แต่คนรักในขณะที่การอาบน้ำ หรือการอาบน้ำละหมาดและการหุ้มกายด้วยผ้า 2

ผืน ก็เปรียบเสมือนการห่อหุ้มศพของผู้เสียชีวิตที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องดำเนินการให้แก่ตนเองก่อนที่จะให้คนอื่นดำเนินการแทนในลักษณะเช่นนี้เมื่อสิ้นชีวิตไป

            การวุกูฟที่อะรอฟะห์ที่ควบคู่กับการรำลึกและดุอาต่อเอกอัลลอฮฺ ก็เสมือนสภาพของมนุษย์ที่ถูกฟื้นคืนชีพในวันกียามะฮฺที่ทุกคนกลับไปสู่อัลลอฮฺโดยอาศัยเสบียงแห่งตักวาและอีหม่านเท่านั้น มุสลิมได้รับการฝึกฝนให้ยอมรับสภาพของการกลับหาสู่อัลลอฮฺในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เขาจะกลับสู่อัลลอฮฺอย่างแท้จริงเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว

            ช่วงเป็นบรรยากาศที่มีความหมายอันลึกซึ้งที่สามารถเตือนสติแก่ผู้มีปัญญาทั้งหลาย

 

 

7. ฮัจย์คือเวทีภาคปฏิบัติจรรยามารยาทอันสูงส่ง

            ตลอดระยะเวลาของการทำฮัจย์ ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องฝึกฝนให้อยู่ในระเบียบวินัย รู้จักควบคุมอารมณ์ เชื่อฟังผู้นำผู้ทรงธรรม บากบั่นต่อสู้กับความยากลำบากและความเหนื่อยล้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทักทายผู้คนด้วยสลาม ให้สลาม ใช้วาจาที่สุภาพอ่อนโยน การมีมารยาทอันสูงส่ง และยับยั้งอารมณ์ตนเองมิให้พลาดพลั้งกระทำสิ่งต้องห้ามและสิ่งอบายมุขต่างๆโดยเฉพาะการร่วมหลับนอนกับภรรยาและสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศการกระทำอบายมุข และการทะเลาะเบาะแว้ง ตลอดจนหมั่นกระทำความดีทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของฮัจย์มับรูรฺ เพื่อนำไปปฏิบัติเป็นวิถีชีวิตยามกลับสู่มาตุภูมิต่อไป

8. ฮัจย์คือการประยุกต์ใช้สาสน์แห่งสันติภาพ

            ผู้ประกอบพิธีฮัจย์คือผู้ใฝ่สันติ เขาไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนไดๆไม่ว่าต่อตนเอง ผู้อื่นสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เหล่าสิ่งสาราสัตว์แม้กระทั่งกิ่งก้านหรือใบไม้เล็กๆก็ตาม ช่วงเวลาการทำฮัจย์คือช่วงเวลาแห่งสันติ ในขณะที่มักกะห์คือดินแดนและอาณาบริเวณที่สันติสุข ดังนั้นผู้ประกอบพิธีฮัจย์จึงซึมซาบบรรยากาศของสันติภาพทั้งเงื่อนไขแห่งเวลาและสถานที่ เพื่อฝึกฝนให้มุสลิมสร้างความคุ้ยเคยในภาคปฏิบัติสู่การประยุกต์ใช้วิถีแห่งสันติในชีวิตจริงต่อไป

            สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของปรัชญาฮัจย์มับรูรฺ ที่ผู้ประกอบพิธีฮัจย์ต้องศึกษาเรียนรู้และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง รู้จักประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อกลับสู่มาตุภูมิ หาไม่แล้วฮัจย์ก็เป็นเพียงทัศนาจรราคาแพงที่มีการเก็บออมและลงทุนทั้งชีวิต แต่ไม่สามารถเกิดดอกออกผลในชีวิต สังคมมุสลิมก็ตกในวังวนแห่งการบูชาพิธีกรรมและเทศกาลที่ไม่มีผลต่อกระบวนการพัฒนาเลย

จากเวป....มุสลิมไทย.com

หมายเลขบันทึก: 363172เขียนเมื่อ 2 มิถุนายน 2010 14:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 20:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เข้ามาแวะดู ครับ เป็นบทความที่ดีมากๆ อยากให้ทุกคน เข้ามาอ่านดู

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท