การตรงต่อเวลา |
การตรงต่อเวลา |
การตรงต่อเวลา เป็นการประพฤติและปฏิบัติของบุคคลที่กระทำต่อกิจการงานที่ตนกระทำ ที่ตนรับผิดชอบและที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้หน้าที่การงานนั้นสำเร็จลุล่วงไปตามกำหนดเวลา หรือเป็นการปฏิบัติตามพันธะสัญญา การนัดหมายที่ได้กระทำไว้กับคู่กรณีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามโอกาสต่าง ๆ โดยที่ผู้ปฏิบัติได้ตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบและรักษาคำมั่นสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งปรากฏหลักฐานจากอัลหะดีษ ดังนี้
عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ مَسْعُوْدٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قال : سَأَلْتُ رسولَ اللهِ صلى الله عليه وسلم : أَيُّ اْلأَعْمَالِ أَفْضَلُ ؟ قَالَ : "اَلصَّلاَةُ عَلَى وَقْتِهَا " قُلْتُ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : "بِرُّ الْوَالِدَيْنِ " " قُلْتُ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : " اَلْجِهَادُ فِيْ سَبِيْلِ اللهِ " رواه البخاري ومسلم
หนึ่ง : เล่าจากอับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.)ว่า กิจกรรมใดประเสริฐที่สุด ? ท่านตอบว่า “การละหมาดตามกำหนดเวลาของมัน” ฉันถามว่า หลังจากนั้นคืออะไร ? ท่านตอบว่า “การกตัญญูต่อบิดามารดา” ฉันถามว่าหลังจากนั้นคืออะไร ? ท่านตอบว่า “การต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮฺ”
รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
ความหมายโดยสรุป
ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้ตอบคำถามของซอฮาบะห์ผู้ทรงเกียรติ คือ อับดุล -เลาะห์ บุตร มัสอูดที่ได้เรียนถามท่านถึงกิจกรรมต่างๆที่มีความประเสริฐที่สุด เพราะมีความต้องการจะปฏิบัติแต่กิจกรรมที่ดี ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้ตอบว่า การปฏิบัติละหมาดฟัรดู 5 เวลาทุกวัน ตามเวลาที่กำหนดเป็นกิจกรรมที่ประเสริฐที่สุด กิจกรรมทางศาสนามักจะผูกพันกับเวลาเช่นการถือศีลอดในเดือนรอมาดอนการจ่ายซะกาตเมื่อครอบ -ครองทรัพย์ไว้ครบรอบหนึ่งปี การทำฮัจย์ในเวลาที่กำหนด เป็นต้น วิทยปัญญาอย่างหนึ่งก็คือต้องการให้มุสลิมเป็นคนตรงต่อเวลา และรักษาเวลา และกิจกรรมที่มีความประเสริฐในอันดับรองลงไปคือการทดแทนคุณบิดามารดาและการต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮฺ
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้นอกจากจะส่งเสริมให้มุสลิมเป็นคนตรงต่อเวลาแล้ว ยังส่ง เสริมให้มุสลิมปฏิบัติดังนี้
عَنِ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : أَخَذَ رسولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم بِمَنْكِبَيَّ فَقَالَ : " كُنْ فِي الدُّنْيَا كَأَنَّكَ غَرِيْبٌ أَوْ عَابِرُ سَبِيْلٍ " وَكَانَ ابْنُ عُمَرَ رضي الله عنهُمَا يَقُوْلُ : إِذَا أَمْسَيْتَ فَلاَ تَنْتَظِرِ الصَّبَاحَ وَإِذَا أَصْبَحْتَ فَلاَ تَنْتَظِرِ الْمَسَاءَ وَخُذْ مِنْ صِحَّتِكَ لِمَرَضِكَ وَمِن حَيَاتِكَ لِمَوْتِكَ " رواه البخاري
สอง : เล่าจากอิบนิอุมัร (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้จับบ่าทั้งสองข้างของฉัน แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านจงอยู่ในโลกนี้เหมือนท่านเป็นคนแปลกหน้า, หรือเป็นเพียงคนที่เดินทาง ผ่าน ”และอิบนุ อุมัร (ร.ด) ได้กล่าวไว้ว่า : เมื่ออยู่ในเวลาเย็น ท่านอย่าคอยจนถึงเวลาเช้า, เมื่อท่านอยู่ในเวลาเช้าท่านก็อย่าคอยจนถึงเวลาเย็น, ท่านจงตักตวง (ความดี) ขณะที่มีสุขภาพดีเพื่อยามเจ็บป่วยของท่านและท่านจงตักตวง (ความดี) ขณะที่ยังมีชีวิต เพื่อความตายของท่าน
รายงานโดยบุคอรี
ความหมายโดยสรุป
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้อธิบายให้พวกเราทราบถึงสภาพที่แท้จริงของโลกนี้ว่าไม่ใช่เป็นที่พำนักที่จีรังและถาวร มนุษย์ที่มาอยู่ในโลกนี้จึงเหมือนคนแปลกหน้าหรือคนต่างถิ่นที่เดินทาง เข้ามาแล้วก็จากไป โลกนี้จึงเป็นสถานที่ที่มนุษย์จะต้องกอบโกยความดีไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ และจะต้องไม่ติดยึดอยู่กับโลกนี้ ด้วยความลุ่มหลงและมุ่งแสวงหาแต่ทรัพย์สินเพื่อความสุขในโลกนี้เท่านั้น ท่านอิบนุอุมัร (ร.ด.) ได้อธิบายว่า มนุษย์จะต้องไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี และสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ โดยกล่าวว่า เมื่ออยู่ในเวลาเช้า อย่าคอยเวลาเย็น เมื่ออยู่ในเวลาเย็นอย่าคอยเวลาเช้า นั่นก็คือเมื่อสบโอกาสที่จะทำความดี และสิ่งที่เป็นประโยชน์จะต้องรีบทำทันทีและจงตักตวงความดีขณะที่มีสุขภาพดี เพื่อยามเจ็บป่วยของท่าน เพราะเมื่อเจ็บป่วยก็จะพลาดโอกาสในการทำความดีและจงตักตวงความดีขณะที่ยังมีชีวิต เพื่อความตายของท่าน เพราะเมื่อเสียชีวิต ก็จะหมดโอกาสทำความดี
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้นอกจากส่งเสริมไม่ให้มุสลิมผัดวันประกันพรุ่ง ยังส่งเสริมให้มุสลิมปฏิบัติ ดังนี้
عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صلى الله عليه وسلم : " نِعْمَتَانِ مَغْبُوْنٌ فِيْهِمَا كَثِيْرٌ مِنَ النَّاسِ : اَلصِّحَّةُ وَالْفَرَاغُ " رواه الترمذي
สาม : เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อับบาส (ร.ด.) ว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “มีความโปรดปรานสองประการที่ผู้คนส่วนมากมักละเลยนั่นคือความมีสุขภาพดี และเวลาว่าง”
รายงานโดยติรมีซีย์
ความหมายโดยสรุป
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้สอนประชากรของท่านให้เห็นคุณค่าของเวลาและสุขภาพ โดยเตือนให้ได้คิดว่าคนส่วนใหญ่เมื่อได้รับความโปรดปรานมีเวลาว่าง แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ แต่นำเวลานั้นไปใช้ให้หมดไปในทางที่ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ใดๆ จนในที่สุดเมื่อมีการงานรัดตัวไม่มีเวลาว่าง เขาก็ระทมทุกข์และเสียใจ ความมีสุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์ ก็เช่นเดียวกันเมื่อคนที่มีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรงและไม่ใช้โอกาสอันดีนี้ตักตวงทำความดี เขาก็จะเป็นผู้ขาดทุนและเสียใจ เมื่อร่างกายอ่อนแอ มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนจนพลาดโอกาสในการทำความดีไป ดังนั้นมุสลิมจึงต้องเป็นผู้ที่รู้คุณค่าของเวลา และคุณค่าของสุขภาพพลานามัยที่ อัลลอฮฺตาอาลาประทานให้ด้วยการขอบคุณพระองค์เป็นอย่างสูง
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้นอกจากจะสอนให้มุสลิมสำนึกอยู่เสมอว่า เวลา และความดี สุขภาพพลานามัยเป็นความโปรดปรานของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว ยังสอนให้มุสลิม ดังนี้
عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عُمَرَ قَالَ : قَالَ رسولُ اللهِ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم : "لاَ تَزُوْلَ قَدَمَا عَبْدٍ يَوْمَ الْقِيَامَةِ حَتَّى يُسْأَلَ عَنْ أَرْبَعٍ : عَنْ عُمْرِهِ فِيْمَا أَفْنَاهُ ، وَعَنْ شَبَابِهِ فِيْمَا أَبْلاَهُ ، وَعَنْ مَالِهِ مِنْ أَيْنَ اكْتَسَبَهُ وَفِيْمَا أَنْفَقَهُ ، وَعَنْ عِلْمِهِ مَاذَا فَعَلَ بِهِ " أخرجه الإمام أحمد في مسنده
สี่ : เล่าจากอับดิ้ลลาห์บุตร อุมัร ว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า เท้าทั้งสองข้างของบ่าวจะยังคงอยู่กับที่ในวันกิยา-มะห์ จนกว่าเขาจะถูกถามสี่ประการคือ ถามถึงอายุของเขา ว่าใช้ให้หมดไปอย่างไร ? ถามถึงวัยหนุ่มของเขาว่า เขาได้ทำอะไรไว้ ? ถามถึงทรัพย์สมบัติของเขาว่าเขาได้มาอย่างไร ? และใช้จ่ายมันอย่างไร ? และถามถึงความรู้ของเขาว่าเขาได้ใช้ความรู้ทำอะไรบ้าง ?”
รายงานโดยอิหม่ามอะห์มัด ในหนังสือมุสนัดของเขา
ความหมายโดยสรุป
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้บอกให้พวกเราได้ทราบถึงสภาพการสอบสวนที่จะเกิดขึ้นในวันกิยามะห์ที่ทุกคนจะต้องประสบว่าจะต้องถูกสอบถามสี่ประการคือ หนึ่ง ถามถึงอายุของเขาว่าตลอดอายุที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เขาได้บริหารจัดการอย่างไร ใช้ให้หมดไปกับการทำความดีหรือความชั่ว สองถามถึงวัยหนุ่มของเขา ซึ่งเป็นวัยของความกระชุ่มกระชวย วัยของความเข้มแข็งว่า เขาได้ใช้พลังของวัยหนุ่มวัยสาวหมดไปในทางใดทางสร้างสรรค์หรือทางทำลา สาม ถามถึงทรัพย์สมบัติของเขา ว่าเขาได้มาอย่างไรได้มาในทางที่ศาสนาอนุมัติหรือในทางฉ้อโกงและทุจริตที่ศาสนาห้ามและเขาได้ใช้จ่ายทรัพย์ไปในทางใดในทางที่เป็นประโยชน์ หรือทำลายมันอย่างไร้ค่า สี่ ถามถึงความรู้ของเขา ว่าเขาได้ปฏิบัติตามความรู้หรือไม่ ซึ่งทุกคนสามารถรู้คำตอบของตนได้แม้ขณะอยู่ในโลกนี้ หากเขาเป็นผู้ที่สำรวจตนเอง
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้ นอกจากจะสั่งเสียให้มุสลิมรู้คุณค่าของเวลา และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ยังสั่งเสียให้มุสลิม ดังนี้
عَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ : " بَادِرُوْا بِالأَعْمَالِ سَبْعًا هَلْ تَنْتَظِرُوْنَ إِلاَّ فَقرًا مَنْسِيًّا أَوْ غِنًى مُطْغِيًا أَوْ مَرَضًا مُفْسِدًا أَوْ هَرَمًا مُفْنِدًا أَوْ مَوْتًا مُجْهِزًا أَوِ الدَّجَّالَ فَشَرُّ غَائِبٍ يُنْتَظَرُ أَوِ السَّاعَةَ فَالسَّاعَةُ أَدْهَى وَأَمَرُّ " رواه الترمذي وقال حديث حسن
ห้า : เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า : ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า: “ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งทำความดี ก่อนที่เจ็ดประการนี้จะเกิดขึ้นกับพวกท่าน พวกท่านไม่ได้รอคอยสิ่งใดนอกจากความจนที่ถูกลืมไปแล้วหรือความรวยที่กดขี่ หรือความเจ็บปวดที่ทำให้ถดถอย หรือความชราภาพที่ทำให้สติเลอะเลือน หรือความตายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือดัจญาลซึ่งเป็นสิ่งที่เร้นลับที่เลวร้าย หรือวันกิยามะห์ และวันกิยามะห์นั้นวุ่นวายและขื่นขมยิ่ง
รายงานโดย ติรมีซี และกล่าวว่า เป็นหะดีษฮะซัน
ความหมายโดยสรุป
ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) แสดงความห่วงใยต่อประชาชาติของท่านด้วยการเตือนพวกเขาให้รีบเร่งทำความดีก่อนที่จะเกิดอุปสรรคต่างๆ ขึ้นอย่างกระทันหันจนไม่สามารถทำความดีได้อย่างเต็มที่ และอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการทำความดีก็คือความร่ำรวยที่ทำให้มีกิจการมากมาย ความยากจนที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ความเจ็บป่วยที่ทำให้หมดกำลังวังชา ความชราภาพที่ทำให้สติเลอะเลือน ความตายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเหตุการณ์ใกล้วันกิยามะห์ที่มีแต่ความวุ่นวาย
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้ สอนให้มุสลิมรีบเร่งทำความดีก่อนที่จะหมดโอกาส นอกจากนี้ยังสอนให้มุสลิม ดังนี้
แบบประเมินตนเอง เรื่อง “การตรงต่อเวลา” |
คำชี้แจ้ง แบบประเมินนี้ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการรวบรวมข้อมูล เพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ เรื่อง “การตรงต่อเวลา” แบบประเมินนี้มี 4 ระดับ และให้นักเรียนประเมินตนเองให้ตรงกับความเป็นจริง แล้วเขียนเครื่อง (P) ลงในช่องของระดับการประเมินตนเอง เรื่อง “การตรงต่อเวลา” ซึ่งมี จริงมาก,จริง,จริงเป็นบางครั้ง และไม่จริง
ที่ |
รายการ |
ระดับการประเมิน |
|||
จริงมาก |
จริง |
จริงเป็นบางครั้ง |
ไม่จริง |
||
1 |
ประพฤติ ปฏิบัติตรงต่อเวลา |
|
|
|
|
2 |
ปฏิบัติหน้าที่งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี |
|
|
|
|
3 |
ตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบ |
|
|
|
|
4 |
รักษาคำมั่นสัญญาที่ทำไว้ |
|
|
|
|
5 |
มีความต้องการจะปฏิบัติแต่กิจกรรมที่ดี |
|
|
|
|
6 |
เข้าแถวตามเวลาที่โรงเรียนกำหนดไว้ |
|
|
|
|
7 |
เข้าคาบเรียนตรงเวลา |
|
|
|
|
8 |
ครูเข้าสอนตรงต่อเวลา |
|
|
|
|
9 |
กิจกรรมที่ดีและประสบความสำเร็จ มักจะผูกพันกับเวลา |
|
|
|
|
10 |
มุ่งแสวงหาแต่ทรัพย์สิน เพื่อความสุขในโลกนี้ |
|
|
|
|
11 |
ผัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี |
|
|
|
|
12 |
ปล่อยปละละเลยไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ |
|
|
|
|
13 |
ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สร้างสมแต่ความดี |
|
|
|
|
14 |
ศึกษาวิชาการที่เป็นประโยชน์และปฏิบัติตามความรู้นั้น |
|
|
|
|
15 |
รีบเร่งทำความดี ก่อนที่จะหมดโอกาส |
|
|
|
|
16 |
อุปสรรค์ที่ขวางกั้นความคือ ความยากจน ความร่ำรวย ความเจ็บปวด ความชรา |
|
|
|
|
17 |
ใช้พลังของวัยหนุ่ม วัยสาวไปในทางทำลาย |
|
|
|
|
18 |
ตักตวงความดี เมื่อมีเวลา |
|
|
|
|
19 |
ใช้เวลาว่างไปในทางไร้สาร |
|
|
|
|
20 |
แสวงหาทรัพย์สิน และใช้จ่ายไปในทางที่ผิดหลักศาสนา |
|
|
|
|
กิจกรรมท้ายบท
1. จงเล่าประสบการณ์ของนักเรียนเองว่า เคยได้รับแรงเสริมอะไรที่ทำให้นักเรียนพัฒนาพฤติกรรมการตรงต่อเวลาที่เด่นและจำได้เท่าทุกวันนี้ 2. ตามประสบการณ์ของนักเรียนเอง โปรดเพิ่มเติมปัจจัยต่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการตรงต่อเวลาของนักเรียน มา 5 ประการ |
การนัดหมายที่ได้กระทำไว้กับคู่กรณีในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามโอกาสต่าง ๆ โดยที่ผู้ปฏิบัติได้ตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบและรักษาคำมั่นสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งปรากฏหลักฐานจากอัลหะดีษ ดังนี้
عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ مَسْعُوْدٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قال : سَأَلْتُ رسولَ اللهِ صلى الله عليه وسلم : أَيُّ اْلأَعْمَالِ أَفْضَلُ ؟ قَالَ : "اَلصَّلاَةُ عَلَى وَقْتِهَا " قُلْتُ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : "بِرُّ الْوَالِدَيْنِ " " قُلْتُ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : " اَلْجِهَادُ فِيْ سَبِيْلِ اللهِ " رواه البخاري ومسلم
หนึ่ง : เล่าจากอับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.)ว่า กิจกรรมใดประเสริฐที่สุด ? ท่านตอบว่า “การละหมาดตามกำหนดเวลาของมัน” ฉันถามว่า หลังจากนั้นคืออะไร ? ท่านตอบว่า “การกตัญญูต่อบิดามารดา” ฉันถามว่าหลังจากนั้นคืออะไร ? ท่านตอบว่า “การต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮฺ”
รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
ความหมายโดยสรุป
ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้ตอบคำถามของซอฮาบะห์ผู้ทรงเกียรติ คือ อับดุล -เลาะห์ บุตร มัสอูดที่ได้เรียนถามท่านถึงกิจกรรมต่างๆที่มีความประเสริฐที่สุด เพราะมีความต้องการจะปฏิบัติแต่กิจกรรมที่ดี ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้ตอบว่า การปฏิบัติละหมาดฟัรดู 5 เวลาทุกวัน ตามเวลาที่กำหนดเป็นกิจกรรมที่ประเสริฐที่สุด กิจกรรมทางศาสนามักจะผูกพันกับเวลาเช่นการถือศีลอดในเดือนรอมาดอนการจ่ายซะกาตเมื่อครอบ -ครองทรัพย์ไว้ครบรอบหนึ่งปี การทำฮัจย์ในเวลาที่กำหนด เป็นต้น วิทยปัญญาอย่างหนึ่งก็คือต้องการให้มุสลิมเป็นคนตรงต่อเวลา และรักษาเวลา และกิจกรรมที่มีความประเสริฐในอันดับรองลงไปคือการทดแทนคุณบิดามารดาและการต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮฺ
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้นอกจากจะส่งเสริมให้มุสลิมเป็นคนตรงต่อเวลาแล้ว ยังส่ง เสริมให้มุสลิมปฏิบัติดังนี้
عَنِ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : أَخَذَ رسولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم بِمَنْكِبَيَّ فَقَالَ : " كُنْ فِي الدُّنْيَا كَأَنَّكَ غَرِيْبٌ أَوْ عَابِرُ سَبِيْلٍ " وَكَانَ ابْنُ عُمَرَ رضي الله عنهُمَا يَقُوْلُ : إِذَا أَمْسَيْتَ فَلاَ تَنْتَظِرِ الصَّبَاحَ وَإِذَا أَصْبَحْتَ فَلاَ تَنْتَظِرِ الْمَسَاءَ وَخُذْ مِنْ صِحَّتِكَ لِمَرَضِكَ وَمِن حَيَاتِكَ لِمَوْتِكَ " رواه البخاري
สอง : เล่าจากอิบนิอุมัร (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้จับบ่าทั้งสองข้างของฉัน แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านจงอยู่ในโลกนี้เหมือนท่านเป็นคนแปลกหน้า, หรือเป็นเพียงคนที่เดินทาง ผ่าน ”และอิบนุ อุมัร (ร.ด) ได้กล่าวไว้ว่า : เมื่ออยู่ในเวลาเย็น ท่านอย่าคอยจนถึงเวลาเช้า, เมื่อท่านอยู่ในเวลาเช้าท่านก็อย่าคอยจนถึงเวลาเย็น, ท่านจงตักตวง (ความดี) ขณะที่มีสุขภาพดีเพื่อยามเจ็บป่วยของท่านและท่านจงตักตวง (ความดี) ขณะที่ยังมีชีวิต เพื่อความตายของท่าน
รายงานโดยบุคอรี
ความหมายโดยสรุป
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้อธิบายให้พวกเราทราบถึงสภาพที่แท้จริงของโลกนี้ว่าไม่ใช่เป็นที่พำนักที่จีรังและถาวร มนุษย์ที่มาอยู่ในโลกนี้จึงเหมือนคนแปลกหน้าหรือคนต่างถิ่นที่เดินทาง เข้ามาแล้วก็จากไป โลกนี้จึงเป็นสถานที่ที่มนุษย์จะต้องกอบโกยความดีไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ และจะต้องไม่ติดยึดอยู่กับโลกนี้ ด้วยความลุ่มหลงและมุ่งแสวงหาแต่ทรัพย์สินเพื่อความสุขในโลกนี้เท่านั้น ท่านอิบนุอุมัร (ร.ด.) ได้อธิบายว่า มนุษย์จะต้องไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี และสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ โดยกล่าวว่า เมื่ออยู่ในเวลาเช้า อย่าคอยเวลาเย็น เมื่ออยู่ในเวลาเย็นอย่าคอยเวลาเช้า นั่นก็คือเมื่อสบโอกาสที่จะทำความดี และสิ่งที่เป็นประโยชน์จะต้องรีบทำทันทีและจงตักตวงความดีขณะที่มีสุขภาพดี เพื่อยามเจ็บป่วยของท่าน เพราะเมื่อเจ็บป่วยก็จะพลาดโอกาสในการทำความดีและจงตักตวงความดีขณะที่ยังมีชีวิต เพื่อความตายของท่าน เพราะเมื่อเสียชีวิต ก็จะหมดโอกาสทำความดี
คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้นอกจากส่งเสริมไม่ให้มุสลิมผัดวันประกันพรุ่ง ยังส่งเสริมให้มุสลิมปฏิบัติ ดังนี้
عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ : قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صلى الله عليه وسلم : " نِعْمَتَانِ مَغْبُوْنٌ فِيْهِمَا كَثِيْرٌ مِنَ النَّاسِ : اَلصِّحَّةُ وَالْفَرَاغُ " رواه الترمذي
สาม : เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อับบาส (ร.ด.) ว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “มีความโปรดปรานสองประการที่ผู้คนส่วนมากมักละเลยนั่นคือความมีสุขภาพดี และเวลาว่าง”
รายงานโดยติรมีซีย์
ความหมายโดยสรุป
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้สอนประชากรของท่านให้เห็นคุณค่าของเวลาและสุขภาพ โดยเตือนให้ได้คิดว่าคนส่วนใหญ่เมื่อได้รับความโปรดปรานมีเวลาว่าง แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ แต่นำเวลานั้นไปใช้ให้หมดไปในทางที่ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ใดๆ จนในที่สุดเมื่อมีการงานรัดตัวไม่มีเวลาว่าง เขาก็ระทมทุกข์และเสียใจ ความมีสุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์ ก็เช่นเดียวกันเมื่อคนที่มีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรงและไม่ใช้โอกาสอันดีนี้ตักตวงทำความดี เขาก็จะเป็นผู้ขาดทุนและเสียใจ เมื่อร่างกายอ่อนแอ มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียด
ครอบครัวผม และผม รัก ศาสนา อิสลาม
เพาะเป็นศาสนา ที่ดีที่สุด