ศีล 5 เป็นหนทางไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง


ศีล 5 เป็นหนทางไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง

           ประชาชนในประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ความจริงควรจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขทั้งกายและใจ   แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่  นับวันกลับเพิ่มความทุกข์ยากมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    พระองค์ได้ทรงสั่งสอนความเป็นจริงของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งอยู่  แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาอันเกิดจากอำนาจการปรุงแต่ง    ความเป็นจริงของธรรมชาติ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก  และมิใช่จะเกิดเป็นกับมนุษย์เท่านั้น แม้แต่ เทพเทวดา มาร พรหม องค์อินทร์ทั้งหลายก็มีปัญญารับรู้ความจริงของธรรมชาตินี้ได้  ไม่สามารถจะปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เลย  เช่น พระองค์สอนว่า ดินมีลักษณะแข็ง ไฟมีลักษณะร้อน จิตวิญญาณมีลักษณะรับรู้อารมณ์ เป็นต้วประชาชนชาวไทยนับว่าเป็นผู้มีบุญกุศลที่ได้เกิดมาในประเทศไทย  และได้พบพระพุทธศาสนา      มีโอกาสอันวิเศษที่จะสร้างบุญกุศลให้กับตนเองประเทศชาติ   ศาสนา   และพระมหากษัตริย์    

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยทั้งหลาย พระองค์ท่านมีเมตตาต่อพวกเรา   ทำทุกวิถีทางที่จะนำประชาชนทุกคนเดินทางไปสู่ความสุขความเจริญ มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียงตามอัตภาพของตน พวกเรามีโอกาสที่จะสนองพระราชประสงค์ของพระองค์ได้  ทั้งยังได้สร้างบุญกุศลให้กับตนเองและครอบครัวด้วย 

ศีลห้า  ที่พวกเราจะนำมาประพฤติปฏิบัติประจำวัน  เพียงตั้งจิตแน่วแน่ว่าวันนี้เริ่มต้นวันแรกครอบครัวเราจะถือศีลข้อที่ 1 อย่างเคร่งครัด โดยไม่   ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์ ไม่รังแกสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  โดยเจตนาหรือไม่เจตนา   หรือการฆ่ามนุษย์โดยผลิตสารเคมีต่างๆ ในปัจจุบันนี้ มีมากขึ้น เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีเร่งพืชผักผลไม้  ใช้สารฆ่าแมลง   ผสมลงในดินเพื่อกันแมลงไม่ให้มาเจาะกินผักผลไม้  ซึ่งมีอันตรายต่อผู้บริโภคมาก  การใช้ ฟอมาลดิฮาย (Formaldehyde) กาวผสมลงในไม้ทำฟอร์นิเจอร์ใช้ในบ้านเรือน สารนี้กระจายออกมา ผู้อาศัยสูดดมเข้าไปทุกวัน  ก่อเกิดมะเร็งได้  พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนผิดศีลข้อ  1  เช่นกัน

ดังนั้นการถือศีลข้อที่  1 รักษาศีลข้อนี้โดยไม่ผิดเลยทั้งวันทั้งคืนได้โดยบริสุทธิ์หมดจด  มหากุศลจะเกิดขึ้นกับตนเอง   คือ ความเมตตาที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญว่ามีคุณานิสงส์ถึง 11 ประการ ได้แก่

1)  อยู่ก็เป็นสุข

2)  ตื่นก็เป็นสุข

3) ไม่ฝันร้าย

4)  เป็นที่รักของมนุษย์      

5) เป็นที่รักของอมนุษย์  

6) เทวดารักษา

7) ไฟหรือยาพิษไม่อาจมาทำร้ายได้     

8) มีจิตตั้งมั่นในสมาธิ 

9) มีผิวพรรณผ่องใส

10) ไม่ขาดสติหลงใหล 

11) เมื่อถึงกาลกิริยาก็ถึงสติ 

ในภพหน้าถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัย 

 Æ  วันที่สอง  ทั้งครอบครัวตั้งใจจะรักษาศีลข้อ  2 

ศีลข้อนี้ไม่ใช่เฉพาะการไม่ลักขโมยเท่านั้น ยังครอบคลุมในการกระทำการเบียดเบียน ปล้นฆ่า ทำลายบ้านเรือนผู้อื่นให้เสียหาย เบียดเบียนเอาเปรียบ ผู้ที่ต่ำต้อยกว่าตน ยึดเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้อนุญาต  ผู้ที่เป็นบุตรก็ได้ ฉ้อโกง ข่มขู่  ยักยอก สับเปลี่ยน  เบียดเบียนพ่อแม่ โดยการลักทรัพย์ ล้างผลาญสมบัติพ่อแม่  ไม่ตั้งใจเรียน ติดยาเสพติด  เป็นศิษย์ไม่เคารพ ครู อาจารย์  ทำให้ท่านได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจ  ทั้งยังรวมถึงผู้มีอำนาจ  ใช้อำนาจเบียดเบียน  ฉ้อโกงทรัพย์สินผู้ต่ำต้อยกว่า  ลำเอียงตัดสินความให้คนผิดเป็นคนถูกโดยรับสินบาทคาดสินบน จะได้รับผลของกรรม คือ มหานรกทนทุกข์ทรมานมากมาย แม้จะหลุดขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องเสวยกรรมทำให้มีชีวิตที่ยากจน ถูกโกง ถูกเบียดเบียนตลอดเวลา  ถ้าใช้สติสัมปชัญญะครองศีลข้อที่ 2 ให้บริสุทธิ์ได้ตลอดวันตลอดคืน  อานิสงส์ผลบุญที่ได้รับย่อมส่งผลบุญในปัจจุบัน คือ ตนเองจะได้รับความสุขความเจริญ ทำการสิ่งใดก็จะมีแต่ความรุ่งเรืองไม่มีใครมาเอารัดเอาเปรียบหรือคดโกงได้

 

Æ วันที่สาม   ร่วมใจกันทั้งครอบครัวตั้งจิตถือศีลข้อ 3 

 ศีลข้อ  3  นี้ คือ การประพฤติผิดในการเสพกามคุณ  ได้แก่ชายหรือหญิงที่ประพฤติล่วงกาเมต่อชายหรือหญิง ที่มิใช่สามีหรือภรรยาของตน ซึ่งชายหรือหญิงนั้นมีเจ้าของคุ้มครองอยู่  หรือการล่วงละเมิดข่มขืนหญิงอื่นที่มิใช่เป็นภรรยาของตน  หลอกล่อให้หลงเชื่อว่าจะแต่งงานอยู่กินกันตลอดไป  แต่พอ  สมใจแล้วก็ทอดทิ้ง  ถ้ามีบุตรธิดาก็จะกลายเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากบิดามารดา ซึ่งขณะนี้เป็นปัญหาต่อสังคมมากด้วยเหตุแห่งการละเมิดศีลข้อที่ 3นี้ บุคคลนั้นจะมีแต่ความทุกข์ทั้งกายและใจ หาความซื่อสัตย์จากผู้ใดไม่ได้ เพราะตนเองไม่มีความซื่อสัตย์ต่อ ครอบครัว เมื่อตายแล้วเกิดใหม่ก็จะต้องรับกรรมคือเป็นผู้ที่มีจิตใจวิปริตผิดเพศ  ถ้าครองศีลข้อ  3 ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งวันทั้งคืนผลบุญได้เห็นทันตา คือครอบครัวจะมีแต่รอยยิ้ม รักใคร่ปรองดอง ห่วงใย รักษาดูแลซึ่งกันและกัน มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อยู่กันจนแก่เฒ่า สามารถปกครองทรัพย์สมบัติที่หามาได้ให้มั่นคงตลอดไป

 

Æ วันที่สี่   ครอบครัวร่วมกันถือศีลข้อที่   4  

มุสาวาท คือคำพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง แปลความว่า ผู้ใดที่กล่าวสิ่งที่ไม่เป็นความจริงให้เห็นว่าเป็นจริงด้วยเจตนานั้น ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิด มีองค์ประกอบของมุสาวาท 4 ประการ

1.             กล่าวเรื่องราวที่ไม่เป็นจริง 

2.             มีจิตมุ่งมั่นที่จะมุสา 

3.             ทำความเพียรเพื่อมุสา 

4.             คนทั้งหลายเชื่อตามคำที่มุสานั้น 

พยายามด้วยตนเองหรือใช้วานให้ผู้อื่นมุสาต่อ เขียนเรื่องราวที่ไม่จริง  ส่งไปให้ผู้อื่น  เช่น ส่งจดหมาย  มีบัตรสนเท่ห์ ออกโทรทัศน์ หรือวิทยุ  เขียนเรื่องที่ไม่จริงปิดประกาศไว้  พิมพ์เป็นหนังสือ  จารึกลงไว้ในแผ่นศิลา  หรือ  อัดเสียงไว้  หรือเป็นพยานเท็จทำให้ผู้อื่นต้องรับโทษทัณฑ์จำคุก  ประหารชีวิต  เสียหายในทรัพย์สินเงินทอง คำพูดที่ทำให้เกิดการแตกแยกทำลายความสามัคคี  คำกล่าวอันใดที่ทำให้ตนเองเป็นที่รัก ยกย่อง  เชิดชูตนเอง  แต่ทำให้ผู้อื่นสูญเสียความรักและตกต่ำเสียชื่อเสียง โดยมีเจตนามุ่งให้แตกแยกกัน เป็นการส่อเสียดทางวาจา คือการพูดให้บุคคล  2 ฝ่ายแตกแยกกันการกล่าวคำหยาบ ได้แก่ การด่าทอ นินทา ว่าร้าย ใช้วาจาสาปแช่ง ให้    ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยคำพูดของตน   ทำให้ผู้อื่นโกรธแค้นเจ็บใจ  เกิดเวรกรรม  ต่อกัน   แต่ถ้าบิดามารดา  ครูอาจารย์  ด่าว่าสั่งสอนบุตร เพื่อมิให้กระทำความชั่ว  ด้วยความหวังดี ไม่ตกอยู่ในศีลข้อ 4 นี้ แต่ถ้าหากบิดามารดาเป็นผู้มีวาจา ดุด่า   ดุด่าบุตรด้วยคำอัปมงคลย่อมเกิดผลร้ายต่อบุตรธิดา เพราะวาจาของพ่อแม่นั้นเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ย่อมก่อผลให้บุตรธิดานั้นตกต่ำหาความเจริญมิได้การพูดเพ้อเจ้อหาสารประโยชน์ไม่ได้  เช่น การเล่าเรื่องที่ได้ฟังมาต่อๆ ซึ่งผิดบ้างถูกบ้างสับสนปนเปกัน ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  ย่อมผิดในศีลข้อ  4   เช่นกันคำพูดที่ไม่มีสาระประโยชน์ที่พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้สงฆ์แสดง คือการแสดงดิรัจฉานคาถามี  32 ประการ  เป็นคำกล่าวที่ขัดขวางต่อมรรคผล       นิพพาน  ซึ่งพระสงฆ์ทั้งหลายมีการงานที่ควรประพฤตินั้นมี  2  ประการ  คือ  กล่าวถ้อยคำที่เกี่ยวกับธรรมะ หรือมิฉะนั้นก็นิ่งเฉยเสีย  ดังนั้นศีลข้อ  4 นี้ ต้องครองสติให้เว้นจากการกล่าวเท็จ เว้นการกล่าววาจาส่อเสียด เว้นจากการกล่าววาจาหยาบคาย ทุกคนในครอบครัวมีการเจรจาอ่อนหวาน ปารถนาดีต่อกัน รักใคร่ปรองดองกัน ก็จะอยู่เย็นเป็นสุขไม่เดือดร้อนใดๆ ไม่สร้างโรคภัยไข้เจ็บให้กับตนเอง

 

         Æ ศีลข้อ 5 พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ แสดงโทษของการดื่มสุราไว้ว่า  การดื่มสุราและน้ำเมาต่างๆ นั้น  เมื่อดื่มอยู่เสมอๆ ดื่มมากขึ้น  ย่อมทำให้       สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม ขาดสติ ที่เคยละอายต่อบาปก็ไม่ละอาย  ที่เคยกลัวกลับกล้าจนสามารถทำการทุจริตต่างๆ ได้ ด้วยอำนาจของสุรานั้น ผิดศีลข้อ 5 นี้  อาจนำไปสู่ความวิบัติได้   เช่น  เมาสุราแล้วขับรถไปชนผู้อื่นตาย ตนเองตายหรือบาดเจ็บสาหัส ย่อมก่อบาปกรรมในชาตินี้และชาติหน้า หรือ เมื่อเสพสุราจนมึนเมาแล้วก็ขาดสติยับยั้ง  ไปประกอบกรรมทำร้ายข่มเหง ผู้อื่นให้เดือดร้อนเสียหายเป็นต้น  เมื่อตายลงก็จะไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย  หรือลงอบายภูมิ      แม้หมดกรรมมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นคนปัญญาอ่อน ใบ้บ้าสารพัน  สุขภาพอ่อนแอถ้าทั้งครอบครัวตั้งใจถือศิล 5 ตั้งแต่เช้าตลอดคืน  สุขภาพกายสุขภาพจิตก็จะแข็งแรงสดชื่น  สมองปลอดโปร่งแจ่มใส     เริ่มใหม่วันที่  6  ก็ร่วมกันถือ ศีลข้อที่  1  แล้วต่อๆ ไปก็ถือข้อ 2–3– 4– 5  ทุกวัน เปลี่ยนไปวันละข้อ  ไม่ช้าทุกคนจะเป็นผู้ที่มีศีล   5   ประจำ   ครอบครัวที่ประพฤติปฏิบัติศีลทั้ง 5  ข้อได้ทุกวัน  จะทำให้กิเลสลดน้อยถอยลง  คือ ตัวโลภะ โทสะ  โมหะ  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ฝึกตนให้มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่  ลดความอยากได้อยากดี  ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองที่จะไปจับจ่ายใช้สอยวัตถุต่างๆ ที่กิเลสชักนำให้ขาดสติจนกลายเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว       รู้จักใช้    รู้จักออม  รู้จักพอ  เตือนสติตนเองทุกวันให้รู้จักละ  รู้จักลด  รู้จักเลิก สิ่งที่เข้ามาทำให้เกิดทุกข์ทั้งกายและใจ นี่คือการปฏิบัติถือศีล   5   เพื่อเป็นหนทางไปสู่เศรษฐกิจพอเพียง

 

หมายเลขบันทึก: 360452เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2010 19:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท