“เผาไปเลยพี่น้อง” คูณณัฐวุฒิพูดเพื่อสร้างสีสรรในการปราศรัยหรือในใจเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ?


"ผู้ที่ในใจไม่มีสันติ สามารถนำการชุมนุมอย่างสันติได้จริงหรือ?"

หลังจากได้ดูทีวีเผยแพร่วิดีโอคลิปคำปราศรัยของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนหนึ่งของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า “ถ้าพวกคุณยึดอำนาจ พวกผมเผาทั่วประเทศ เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง แล้วใครจะจับใครจะอะไรมาเอากับผม ถ้าคุณยึดอำนาจ เผา” และได้อ่านข่าวที่คุณพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยแถลงว่า คุณณัฐวุฒิพูดบนเวทีคนเสื้อแดงที่จันทบุรี เมื่อเดือน ม.ค.53 ไม่ใช่ที่เวทีราชประสงค์ และเป็น “การพูดเพื่อสร้างสีสรรในการปราศรัย”  แล้ว ผมเกิดคำถาม ความคิด และความรู้สึก ขึ้นมาในใจ 2 - 3 ประการ

ประการแรกสุด ผมเกิดคำถามว่า การเผยแพร่คลิปดังกล่าวอย่างกว้างขวางจะก่อให้เกิดผลกระทบ 2 ด้านหรือเปล่า? นั่นคือ

  • ด้านหนึ่ง อาจทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความรู้สึกว่าการเผาสถานที่ต่างๆ หลังยุติการชุมนุมเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อแดงยุ และอาจเกิดอารมณ์โกรธ เกิดความรู้สึกชิงชังประชาชนฝ่ายคนเสื้อแดง
  • อีกด้านหนึ่ง อาจทำให้ฝ่ายคนเสื้อแดงทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดที่กำลังอยู่อารมณ์ผิดหวังหรือโกรธแค้นอยู่ ลงมือปฏิบัติการเผา

ผมจึงเห็นว่า

  1. หากเผยแพร่ก็ควรแจ้งให้ชัดเจนว่าเขาพูดที่ไหนเมื่อไรด้วย
  2. หากเป็นไปได้ ทั้งรัฐและสื่อควรหยุดเผยแพร่คลิปนั้นเสีย เพื่อประโยชน์ในการลดอารมณ์โกรธแค้นและความรู้สึกชิงชังต่อกันในหมู่ประชาชน ไม่ขยายความขัดแย้ง อันอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองของประชาชนในประเทศ ส่วนฝ่ายรัฐจะนำวิดีโอดังกล่าวไปเป็นหลักฐานประกอบคดีในศาลก็เป็นเรื่องที่ทำได้

ประการที่สอง ขณะดูวิดีโอคลิปนั้น นอกจากได้ยินคำพูดแล้ว ยังได้สังเกตน้ำเสียง สีหน้า และท่าทางไปด้วย การสังเกตดังกล่าวไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นการพูดเพียงเพื่อ “สร้างสีสรรในการปราศรัย” อย่างที่คุณพร้อมพงศ์บอก ภาพและเสียงจากวิดีโอคลิปนั้นทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าคุณณัฐวุฒิเจตนาหรือให้ความหมายกับสิ่งที่เขาพูดจริงๆ (ผมอาจจะผิดก็ได้ เพราะคุณณัฐวุฒิคือผู้ที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่า ความหมายหรือเจตนาจริงๆ ของสิ่งที่เขาพูดคืออะไร)

ผมนึกถึงภาพในทีวีที่เห็นคุณณัฐวุฒิพูดจากเวทีราชประสงค์หลายครั้งว่า เขานำคนเสื้อแดงชุมนุมอย่างสันติ แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ผู้ที่ในใจไม่มีสันติ สามารถนำการชุมนุมอย่างสันติได้จริงหรือ? คำตอบที่ผุดขึ้นในใจผมคือ ไม่ได้

ผู้ที่ภายในใจรุ่มร้อนเหมือนมีไฟสุมอยู่ (ทางพระเรียก โทสะ) ทั้งควันทั้งไฟย่อมหาทางระบายออกมาทางการพูด(วจีกรรม) และการกระทำ(กายกรรม) ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกผู้ร่วมชุมนุม

แม้จะตีความว่า เขาบอกให้เผาหากมีการยึดอำนาจ ซึ่งผมเข้าใจว่าหมายถึงรัฐประหาร ไม่ใช่ในการสลายการชุมนุมก็ตาม ผมก็ยังเห็นว่าการพูดให้คนไปเผา (แสดงพฤติกรรมที่ไม่สันติ) ไม่ว่าในโอกาสใด ย่อมสะท้อนความรู้สึกภายในและความคิด(หรือวิธีคิด)ของผู้พูด

ประการที่สาม หากคุณณัฐวุฒิพูดเพื่อสร้างสีสรรอย่างที่คุณพร้อมพงศ์บอกจริง นั่นคือ คุณณัฐวุฒิมีเจตนาแค่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้ผู้ฟัง ไม่ได้หมายความอย่างที่พูดออกไป คุณณัฐวุฒิ(และทุกคนรวมทั้งผม)ก็ได้เรียนรู้ร่วมกันอีกครั้งว่า คำสอนของพุทธศาสนาที่ว่าด้วยสัมมาวาจา ให้มีวจีกรรมสี่ (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ) นั้น เป็นคำสอนที่ช่วยให้เราเจริญขึ้น ไม่ตกต่ำลง แม้ว่าในวิดีโอนั้นคุณณัฐวุฒิจะพูดออกไปโดยไม่มีเจตนาให้ฝ่ายเสื้อแดงไปเผาจริงๆ (แต่คนฟังจะรู้ได้อย่างไรว่าพูดจริงหรือพูดเล่น?) ก็ยังเข้าข่ายพูดเพ้อเจ้อตามนัยคำสอนดังกล่าว การพูดนั้นจึงกลายเป็นประเด็นสร้างปัญหาให้ผู้พูด ผู้ที่มีสถานภาพเป็นผู้นำ(แกนนำ)ยิ่งควรระมัดระวังคำพูด

ประเด็นสุดท้าย เรื่องความรับผิดชอบ ผมเชื่อว่ามนุษย์เราไม่มีใครหนีพ้นกรรมที่ตนกระทำได้ (ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม) จึงชื่นชมทุกคนที่รับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตน ในวิดีโอคลิปนั้น คุณณัฐวุฒิบอกว่า “...เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง แล้วใครจะจับใครจะอะไรมาเอากับผม...”  ดูเหมือนผู้พูดจะแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดของตน แต่การรับผิดชอบต่อการยุให้คนเผาด้วยเหตุจากความขัดแย้งทางการเมืองทุกครั้งมักก่อความเสียหายมากมายมหาศาล เกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรับผิดชอบไหว แม้คนยุจะบอกว่าตนรับผิดชอบแต่ผู้เดียว เช่นที่ให้มาจับเขาแต่ผู้เดียว (ผมไม่รู้ว่าคดีแบบนี้โทษสูงสุดเท่าไร จำคุกตลอดชีวิตหรือเปล่า) นั้น ถือเป็นการรับผิดชอบในความหมายใด เพราะคนทั่วไปต่างก็รู้ดีว่า ผู้ลงมือเผาหรือผู้ร่วมเผาก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตน ถ้าถูกจับได้ก็ถูกดำเนินคดีกันทุกคน คนที่หนีรอดคดีทางโลกไปได้ก็ยังต้องรับผลกรรมในการกระทำของตนทางธรรมทางใดทางหนึ่งอยู่ดี (เช่น หาความสุขในชีวิตได้ยาก) 

ผมได้เรียนรู้จากปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราครั้งนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าภายในจิตใจของเราไม่สงบ มีความว้าวุ่น ขุ่นเคือง โกรธ แค้น ชิงชังสุมขึ้นแล้ว สิ่งทีเราแสดงออกมาภายนอกก็มักนำไปสู่ความโกลาหล จราจล วุ่นวาย เสียหาย ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลและส่วนรวม ตรงกันข้าม หากเราแต่ละคนสามารถครองสติ เห็นอารมณ์ใดๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจเรามากขึ้นเพียงใดแล้ว โอกาสที่ความสงบ สันติภายในก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น เมื่อมีความสงบสันติภายในแล้ว วจีกรรม และ กายกรรม ที่แสดงออกมาภายนอกนั้น สามารถส่งผลไปสู่ความสงบสันติของโลกภายนอกได้ด้วย โลกภายนอกในที่นี้กินความตั้งแต่คนใกล้ชิด ญาติมิตร ไปจนถึงประเทศชาติและสังคมโลก

ผมเชื่อว่า คนเรามีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้นกันทุกคน ศักยภาพหมายถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ ยังไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ ขอเพียงเราให้โอกาสตัวเราเองได้เชื่อมโยงกับพลังภายในที่เราทุกคนมีอยู่แล้วนั้นบ้าง แล้วปล่อยให้มันได้แสดงออกมาผ่านคำพูดและการกระทำของเรา ไม่เพียงแต่ในระหว่างสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ แต่ในวันต่อๆ ไปด้วย นั่นคือให้พลังด้านดีได้แสดงออกมาในทุกขณะของการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย แล้วตัวเราเอง บ้านเมือง และโลกก็จะสันติขึ้น

ที่ต้องเชื่อมโยงกับพลังด้านดีอยู่ต่อไปและตลอดไปนั้นก็เพราะ แม้สถานการณ์ความไม่สงบครั้งนี้จะยุติลงโดยส่วนใหญ่แล้ว แต่เหตุแห่งความไม่สงบนั้นยังคงอยู่ ทั้งในตัวตนของคนเราแต่ละคน และในสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ความยากจน การศึกษา ฯลฯ 

ผมชอบคำพูดของท่าน ว.วชิระเมธี ที่เป็นคลิปสั้นออกทีวีทุกวันๆ ละหลายครั้งขณะนี้ว่า เราอยากให้สังคมเปลี่ยน แต่เราได้เปลี่ยนอะไรบ้างในตัวเรา.

สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
21 พ.ค. 53

หมายเลขบันทึก: 360432เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2010 18:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012 19:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เรียน ท่านอาจารย์

 

  • ในหนังสือ สู่ชีวิตอันอุดม ของท่าน ติช นัท ฮันห์ สอนเกี่ยวกับ ปัจเจกพีชและสมุหพีช เข้าทำนองว่า 

 ในเรามีเขา ในเขามีเรา

 

  • ผมเข้าใจว่า เราแต่ละคน ต่างก็เป็น "จิตหนึ่ง"
  • ปัจเจก ส่งผมต่อ สมุห     สมุห ส่งผลต่อ ปัจเจก
  • มีสิ่งหนึ่งในสรรพสิ่ง มีสรรพสิ่งในสิ่งหนึ่ง
  • เพราะมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้
  • ในเขาจึงมีเรา ในเราจึงมีเขา
  • เราคือกันและกัน
  • เปลี่ยนเรา เขาก็เปลี่ยน
  • เขาเปลี่ยน ก็เปลี่ยนเรา
  • เราคือหนึ่งเดียว ไม่มีเรา ไม่มีเขา

ด้วยจิตคารวะ

 

ครับคุณ P เด็กข้างบ้าน ~natadee

สิ่งทั้งหลายล้วนสัมพันธ์กัน

"เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่ง สะเทือนถึงดวงดาว"

ช่วยอ่าน......หนังสือกองทัพธรรม.......แล้วจะได้อะไรกันอีกเยอะ......ทั้งเรา..ทั้งเขา...

  • เศร้าใจครับ สงสารประเทศไทย
  • ทำได้ยังไงก็ไม่รู้
  • สงสารเจ้าของทรัพสินที่ถูกทำลาย
  • เสียดายงบประมาณที่จะต้องนำมาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
  • ผู้ชุมนุมที่เรียกร้องอะไรหลายอย่างก็คงต้องรอไปก่อน
  • เพราะงบประมาณต้องเอาไปเยียวยาผู้ถูกผลกระทบ

ใช่เลยค่ะ

เห็นในตัวเราก่อน

เหมือนกับหัวใจของศาสตร์นพลักษณ์

หากเราไม่รู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งพอ คงชวนคนอื่นเห็นได้ลำบาก

สันติในใจเรา จะแผ่ออกมาเป็นการกระทำที่คนอื่นรับรู้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องบอก

บางคนเอาแต่บอก แต่พูดว่า "สันติ" แต่ไม่สามารถแปรมันเป็นการกระทำได้เลย เพราะในใจไม่เคยมีสันติ

เมื่อเรามีสันติ เราจะพบ "สุข"ตามมาค่ะ ..มันเป็น "สุขเย็น" ซึ่งทั้งตัวเรา และคนอื่นสัมผัสได้เสมอค่ะ

รังสรรค์ เรืองสมบูรณ์

"ก่อนพูด เราเป็นนายมัน แต่พูดออกไปแล้ว มันเป็นนายเรา" คำพูดเหล่านี้ คนไทยได้ยินกันเสมอๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ บางครั้งบทเรียน บางบทเรียนก็ซื้อมาด้วยราคาแพง เท่าชีวิต ลองดูตัวอย่างง่ายๆ คนที่มีลูกสาวพ่อแม่ก็สั่งสอนว่าอย่าออกไปเที่ยวกับเพื่อนชายดึกๆดื่นๆ ตามลำพัง อย่าแต่งตัวอวดทรวดทรง เพราะมันอาจยั่วอารมณ์ ผู้ชายที่เกืดความอยาก ลูกสาวไม่เชื่อแล้วถูกข่มขืน หลังเสียความบริสุทธิ์ ถึงได้รู้ว่าคำพูดของพ่อแม่นั้นจริง

สวัสดีค่ะ ขอขอบพระคุณยิ่ง ที่ส่งเรื่องที่ดี มีข้อคิดดีๆไปให้อ่าน(ได้อ่านของทุกท่านที่ร่วมแสดงความเห็นด้วยค่ะ) ดิฉันได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ขององค์พระพุทธศาสดาแล้ว ด้วยการคิดถุงทุกคนด้วยเมตตาทุกวัน วันละหลายๆครั้ง มองด้วยความเข้าใจว่าในโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ มวลพี่น้องเราก็มีหลายๆอย่างที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน สวดภาวนาทุกวันขอให้พี่น้องไทย และคนทั้งมวลอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจ สงบและสันติสุข ขอให้มีศีลธรรม มีหิริโอตัปปะ และมีสัมมาทิฐิในการคิด ในการดำเนินชีวิตเถิด จะได้มีจิตสุข มีจิตสงบ ขออนุโมทนาในจิตที่งดงามด้วยธรรมของทุกท่านค่ะ

มาลิน เนาว์นาน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท